Skip to content

ไทย–ลาว: สร้างโอกาสใหม่จาก “Landlocked” สู่ “Landlink” เชื่อมโยงการค้าเกษตรไทยสู่จีนและเวียดนาม

ความสัมพันธ์ไทย–ลาวในบริบทเศรษฐกิจภูมิภาค

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีรากฐานยาวนาน ทั้งในมิติประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ลาวได้แสดงบทบาทโดดเด่นในฐานะประเทศศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ประเทศไทยมีบทบาทในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจและคู่ค้าหลักที่ช่วยขับเคลื่อนศักยภาพของลาวให้ก้าวพ้นจากข้อจำกัดทางภูมิประเทศ จากประเทศ “Landlocked” ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ไปสู่ “Landlink” หรือประเทศศูนย์กลางการเชื่อมโยงทางบกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวไม่เพียงเป็นเป้าหมายของลาวเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของไทยในการขยายเครือข่ายโลจิสติกส์ การค้าการลงทุน และการเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าผลิตภัณฑ์เกษตรไปสู่ตลาดขนาดใหญ่ในจีนและเวียดนาม ซึ่งถือเป็นทั้ง “โอกาสเชิงเศรษฐกิจ” และ “ยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์” ที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงานในระยะยาว

การเยือนลาวของคณะนายกรัฐมนตรีไทย: สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลไทย ได้เดินทางเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–ลาว การเยือนครั้งนี้มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นการกระชับสายสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศแล้ว ยังเป็นการเปิดเวทีหารือระดับสูงกับ นายสอนไซ สีพันดอน (H.E. Mr. Sonexay Siphandone) นายกรัฐมนตรีลาว ณ สำนักงานนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และพลังงาน

สาระสำคัญของการหารือเน้นไปที่การ “ยกระดับลาวให้เป็นประเทศศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “Landlink Strategy” ที่ไทยสนับสนุน โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางรถไฟ รถยนต์ และพลังงาน เพื่อเชื่อมโยงระหว่างประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ให้สามารถค้าขายและขนส่งสินค้าระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ลาวจาก Landlocked สู่ Landlink: เส้นทางใหม่ของเศรษฐกิจอินโดจีน

ลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่มีพรมแดนติดกับจีน เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา และไทย ซึ่งทำให้ประเทศนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางการเชื่อมโยงทางบก” ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปิดให้บริการของ โครงการรถไฟจีน–ลาว (China–Laos Railway) ซึ่งเชื่อมต่อจากคุนหมิงในมณฑลยูนนาน ผ่านหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และเข้าสู่หนองคายของไทย

โครงการรถไฟสายนี้ไม่เพียงช่วยให้การเดินทางของผู้โดยสารสะดวกขึ้น แต่ยังเป็น “เส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ” ที่เปิดเส้นทางการค้าระหว่างไทย–ลาว–จีน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับสินค้าเกษตรของไทย เช่น ผลไม้ ผักสด ดอกไม้ และสินค้าเกษตรแปรรูป ที่ต้องการการขนส่งที่รวดเร็วและควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งระบบรางให้ต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งทางถนนและใช้เวลาน้อยกว่าการขนส่งทางเรือ

นอกจากนี้ ลาวยังมีโครงการทางด่วนหลายเส้นทาง เช่น ทางด่วน เวียงจันทน์–บ่อแก้ว–คุนหมิง และ เวียงจันทน์–สะหวันนะเขต–ดานัง (เวียดนาม) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงภูมิภาค (GMS Economic Corridors) ที่จะเปลี่ยนภูมิประเทศของลาวจาก “ประเทศทางผ่าน” ให้กลายเป็น “ประเทศศูนย์กลาง” ทางเศรษฐกิจ

ไทยในฐานะพันธมิตรยุทธศาสตร์: โอกาสทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่มูลค่าใหม่

ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ของลาว โดยเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ลำดับที่ 3 รองจากจีนและเวียดนาม ซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของลาวย่อมส่งผลดีโดยตรงต่อไทย ทั้งในด้านการค้า การจ้างงาน และการพัฒนาโลจิสติกส์

การเปลี่ยนผ่านของลาวสู่ Landlink เปิดโอกาสให้ไทยใช้เส้นทางขนส่งผ่านลาวเพื่อเข้าถึงตลาดจีนตอนใต้และเวียดนามตอนเหนือได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่มสินค้าการเกษตรและอาหารปลอดภัย (Safe & Green Food Products) ที่เป็นจุดแข็งของไทย เช่น ผลไม้เมืองร้อน ข้าวอินทรีย์ ผักปลอดสาร และผลิตภัณฑ์แปรรูปเกษตร ซึ่งตลาดจีนและเวียดนามมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง

ในเชิงกลไกการค้า ไทยสามารถใช้ลาวเป็น “Land Bridge ภาคพื้นทวีป” เพื่อเชื่อมโยงศูนย์กระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หนองคาย มุกดาหาร นครพนม) เข้ากับเส้นทางรถไฟจีน–ลาว และต่อไปยังมณฑลยูนนาน กว่างสี หรือเวียดนามตอนกลาง ทำให้ลดระยะเวลาและต้นทุนโลจิสติกส์ได้กว่า 30–40% เมื่อเทียบกับเส้นทางเรือ

ในด้านการลงทุน ภาคเอกชนไทยเริ่มขยายฐานการผลิตในแขวงสะหวันนะเขตและเวียงจันทน์ เพื่อใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาประหยัดและการเข้าถึงตลาดอาเซียนตอนบน ขณะที่สถาบันการเงินไทย เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียงจันทน์ มีบทบาทสำคัญในการให้บริการสินเชื่อ สนับสนุนการลงทุน และเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ

ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด: เสริมความมั่นคงและยั่งยืน

อีกหนึ่งมิติที่โดดเด่นของความร่วมมือไทย–ลาวคือ “พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำ” ซึ่งลาวมีศักยภาพมหาศาลในฐานะ “Battery of ASEAN” หรือแหล่งพลังงานสะอาดของภูมิภาค ลาวสามารถผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้มากกว่า 7,000 เมกะวัตต์ และส่งขายให้กับประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงไทย

ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าไฟฟ้าจากลาวกว่า 3,000 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 10 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ การซื้อขายพลังงานลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 ของไทย และ Net Zero Emission 2065 ของลาว

การพัฒนาพลังงานร่วมกันจึงเป็นอีกกลไกสำคัญของ “การพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” ซึ่งทั้งสองประเทศสามารถต่อยอดสู่การค้าพลังงานหมุนเวียนในอนาคต เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล ที่จะเชื่อมโยงเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid)

สรุป: ไทย–ลาวเติบโตไปด้วยกัน สู่อนาคตแห่งความยั่งยืน

ความร่วมมือระหว่างไทยและลาวในปัจจุบันไม่เพียงเป็นการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการสร้าง “พันธมิตรแห่งการพัฒนา” ที่มีรากฐานบนความเข้าใจและผลประโยชน์ร่วมกัน การเปลี่ยนผ่านของลาวจาก “Landlocked” สู่ “Landlink” ไม่ได้หมายถึงการเปิดเส้นทางเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็นการสร้าง “สะพานแห่งมิตรภาพและความมั่นคงร่วมกันของภูมิภาค”

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานของลาวพัฒนา เครือข่ายคมนาคมระหว่างไทย–ลาว–จีน–เวียดนาม จะกลายเป็น “ห่วงโซ่มูลค่าใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว

ดังนั้น การเยือนลาวของคณะนายกรัฐมนตรีไทยนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ จึงถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” ของการทูตเชิงเศรษฐกิจ ที่ไม่เพียงเชื่อมโยงสองประเทศ หากยังเป็นการวางรากฐานสู่ ภูมิภาคอาเซียนที่เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง — จาก Landlocked สู่ Landlink และจากความร่วมมือสู่ความยั่งยืนร่วมกันของทั้งภูมิภาค

ผู้เขียน : นายสุภาชัย เตชนันต์
นักศึกษาปริญญาเอกสาขายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค
ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา

อ้างอิง
สุภาชัย เตชนันต์. (2568).ไทย–ลาว : สร้างโอกาสใหม่จาก “Landlocked” สู่ “Landlink” เชื่อมโยงการค้าเกษตรไทยสู่จีนและเวียดนาม. สืบค้นจาก. kmnec.crurds.com