Post Views: 185
ในโลกของการแข่งขันปัจจุบัน ขึ้นชื่อว่าจะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดยุทธศาสตร์(Strategy)และการวางแผน(Planning)เป็นหัวใจหลักสำคัญของการนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน องค์กรที่สามารถกำหนดกลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพย่อมมีโอกาสเติบโต แข่งขัน และปรับตัวได้ดีกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ดังนั้น นักยุทธศาสตร์ ตลอดจนผู้บริหารทั้งในระดับสูง ระดับกลางและระดับต้น ควรต้องมีความรู้ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความหมาย ความสำคัญ ตลอดจนพัฒนาการทางความคิดของยุทธศาสตร์และกลยุทธ์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาองค์กรของตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต เพราะฉะะนั้นในบทความฉบับนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงความหมายของยุทธศาสตร์และกลยุทธ์เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและสามารถนำไปใช้ได้อย่างชมีประสิทธิภาพ
Alfred D. Chandler, Jr.(1962) นิยามความหมายของยุทธศาสตร์ว่า ยุทธศาสตร์ คือ การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์พื้นฐานในระยะยาวขององค์กร พร้อมทั้ง การเลือกแนวทางดำเนินงาน และการจัดสรรทรัพยากร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น
Henry Mintzberg(1998) นักวิชาการด้านการจัดการชื่อดัง ได้ให้นิยามของ "ยุทธศาสตร์" (Strategy) ไว้อย่างลึกซึ้งและหลากหลาย โดยเขาเสนอว่า ยุทธศาสตร์ไม่สามารถมองได้จากมุมเดียว และควรถูกพิจารณาจากหลายแง่มุม ซึ่งเขาได้เสนอแนวคิดที่เรียกว่า "5Ps for Strategy" ได้แก่
1.ยุทธศาสตร์คือ แผน(Plan) หมายถึง สิ่งที่วางไว้ล่วงหน้าเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ หรือ "Strategy is a consciously intended course of action."
2.ยุทธศาสตร์คือ เล่ห์เหลี่ยม(Ploy) หมายถึง กลยุทธ์เฉพาะที่ใช้เพื่อเอาชนะคู่แข่ง เช่น การใช้กลอุบายบางอย่าง "Strategy is a specific maneuver intended to outwit an opponent or competitor."
3.ยุทธศาสตร์คือ รูปแบบ(Pattern) หมายถึง รูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม"Strategy is a consistency in behavior, whether or not intended."
4.ยุทธศาสตร์คือ ตำแหน่ง(Position) หมายถึง การวางตำแหน่งองค์กรในตลาดหรือสภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน "Strategy is a means of locating an organization in its environment."
5.ยุทธศาสตร์คือ มุมมอง(Perspective) หมายถึง วิธีการรับรู้และมองโลกขององค์กร ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมและค่านิยมภายใน
Michael E. Porter(1996) นักวิชาการจาก Harvard Business School เป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในด้านกลยุทธ์การแข่งขัน (Competitive Strategy) มองว่า ยุทธศาสตร์คือการเลือกอย่างตั้งใจว่าจะทำอะไรและ ไม่ทำอะไร โดยมุ่งสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยมีแนวคิดเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ที่สำคัญดังนี้
1.การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) องค์กรต้องเลือกตำแหน่งทางการแข่งขันที่แตกต่างจากคู่แข่ง ไม่ใช่แค่พยายามทำสิ่งเดียวกันให้ดีกว่า
2.การเลือกสิ่งที่ไม่ทำ (Trade-offs) ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนต้องมีการตัดสินใจว่าจะไม่ทำบางอย่างเพื่อรักษาความสอดคล้องและโฟกัสไปที่สิ่งสำคัญกว่า
3.การมีระบบกิจกรรมที่สอดประสานกัน (Fit among activities)
ยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งเกิดจากกิจกรรมที่สนับสนุนกันและกันอย่างสอดคล้อง
4.ความยั่งยืนของความได้เปรียบ (Sustainable Competitive Advantage) เป้าหมายของยุทธศาสตร์คือการสร้างข้อได้เปรียบที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ชั่วคราว
ในส่วนนิยามความหมายของคำว่า กลยุทธ์ Gerry Johnson et al.(2008) หนึ่งในนักวิชาการชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ ซึ่งร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้พัฒนาหนังสือชื่อดัง Exploring Strategy ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสหราชอาณาจักรและทั่วโลก ได้นิยามความหมายของกลยุทธ์ ว่า หมายถึง ทิศทาง และขอบเขตขององค์กรในระยะยาวซึ่งมุ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงผ่านการใช้ทรัพยากรและขีดความสามารถอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยจุดเด่นของแนวคิดนี้คือ
1. กลยุทธ์ จะเป็นสิ่งที่ เน้นมุมมองระยะยาว (long-term direction)
2. กลยุทธ์ ให้ความสำคัญกับ การปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
3. กลยุทธ์ มุ่งตอบสนอง ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders)
4. กลยุทธ์ ต้อง มีความสามารถในการผสานทั้งทรัพยากร (resources) และตอบสนองต่อขีดความสามารถ (competences)
นอกจากนั้น ยังมีนักวิชาการในเอเชียหลายท่าน ได้นิยามความหมายของยุทธศาสตร์และกลยุทธ์(Strategy) โดยผสานกับแนวคิดด้านการจัดการร่วมสมัยเข้ากับบริบททางวัฒนธรรมเอเชีย เช่น การมองโลกแบบองค์รวม ความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ และการคิดระยะยาว(สอดคล้องกับความยั่งยืน) อันได้แก่
Kenichi Ohmae(1982) ซึ่งเป็นนักวิชาการของญี่ปุ่น ได้นิยามความหมายของยุทธศาสตร์ว่า หมายถึง วิธีการที่องค์กรใช้จุดแข็งของตนให้เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า โดยแนวคิดที่สำคัญของ Ohmae นั้นคือ โมเดล “The Strategic Triangle” ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.บริษัท (Corporation) – จุดแข็งและทรัพยากรภายใน
2.ลูกค้า (Customer) – ความต้องการของตลาด
3.คู่แข่ง (Competitor) – การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
และยุทธศาสตร์ที่ดีต้องสร้างความสมดุลระหว่างสามองค์ประกอบนี้ เพื่อสร้างผลลัพธ์สูงสุดดังแผนภาพที่
ซุนวู (Sun Tzu / 孙子) ผู้เขียนตำรายุทธศาสตร์ “The Art of War” หรือ “ซุนจื่อปิงฝ่า” (孙子兵法) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ในโลกตะวันออก และยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อการบริหารธุรกิจและการจัดการในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศจีน(Samuel B.Griffith,1963) ได้นิยามความหมายของยุทธศาสตร์ ว่า หมายถึง “兵者,诡道也”หรือ สงครามคือหนทางแห่งเลห์กล และเมื่อนำมาแปลงในเชิงความหมายของบริบทภายใต้ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ จึงหมายความว่า ยุทธศาสตร์ คือ การใช้สติปัญญาและความยืดหยุ่นเพื่อบรรลุเป้าหมายโดยไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับคู่แข่ง แต่ใช้วิธีการที่เหนือกว่า เช่น การวางแผน การคาดการณ์ และการใช้จุดแข็งของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ แนวคิดที่สำคัญของ ซุนวู ที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ มีดังนี้
1.ชัยชนะโดยไม่ต้องรบ (Winning without fighting) : ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการเอาชนะโดยไม่ต้องเข้าสู่การปะทะ
2.รู้เขา รู้เรา (Know yourself and your enemy):ถ้ารู้ทั้งตนเองและศัตรู ย่อมรบชนะได้ทุกครั้ง
3.ใช้เล่ห์กลและการวางแผน (Deception and flexibility):
ยุทธศาสตร์ที่ดีไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเสมอ การปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เป็นกุญแจสำคัญ
ในส่วนของนักวิชาการเกาหลี แม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในระดับสากลเท่ากับนักวิชาการตะวันตกหรือจีน แต่เกาหลีก็มีนักวิชาการที่มีผลงานด้านกลยุทธ์ธุรกิจในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในบริบทของการเติบโตของ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Chaebol) และการพัฒนาเศรษฐกิจในบริบทเอเชียตะวันออก ตัวอย่างนักวิชาการที่โดดเด่น ได้แก่
Chang, Sea-Jin (2003) ศาสตราจารย์ด้านกลยุทธ์และธุรกิจเอเชีย, National University of Singapore และอดีตอาจารย์ที่ Korea University ได้นิยามความหมายของกลยุทธ์ ว่า หมายถึง การจัดวางความสอดคล้องระหว่างศักยภาพภายในขององค์กรกับโอกาสภายนอกในบริบทของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม สำหรับแนวคิดของ Chang Sea-Jin ที่สำคัญคือ
1.บริบทของความไม่แน่นอนสูง (High Uncertainty):กลยุทธ์ในเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลี ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาด เทคโนโลยี และนโยบายรัฐ
2.กลยุทธ์ของ Chaebol: เน้นวิเคราะห์การเติบโตของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ในเกาหลีใต้ เช่น Samsung, Hyundai, LG ว่าเป็นผลจากการกำหนดกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
3.การพึ่งพาทุนมนุษย์และเครือข่ายในระบบนิเวศเศรษฐกิจ :
กลยุทธ์ไม่ใช่แค่การวางแผนจากบนลงล่าง แต่เกิดจากการตอบสนองแบบเครือข่ายและการใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ร่วมกัน
จากการนิยามความหมายจะพบว่า ยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ มักมีการใช้ร่วมกันภายใต้บริบทเดียวกัน และหรือ การใช้แตกต่างกันในบริบทเดียวกัน เพราะฉะนั้น ผู้เรียบเรียงจะขอนำเสนอการนิยามความหมายโดยการเปรียบเทียบจากคำว่า ยุทธศาสตร์ กับ กลยุทธ์ จากนักวิชาการและนักการทหารชื่อดัง ดังนี้
คาร์ล ฟิลลิพ ก็อทฟรีท ฟ็อน เคลาเซอวิทซ์ หรือ Carl von Clausewitz นักทฤษฎีการทหาร เยอรมนี ได้นิยามความหมายเชิงเปรียบเทียบระหว่างคำว่า ยุทธศาสตร์ กับกลยุทธ์ ดังนี้
กลยุทธ์ (Tactics) หมายถึง การใช้กำลังพลในการรบแต่ละครั้ง
ยุทธศาสตร์ (Strategy) หมายถึง การใช้การรบแต่ละครั้งให้สอดคล้องกับแผนการใหญ่เพื่อชนะสงคราม
Alfred Chandler(1962) นักวิชาการชาวสหรัฐอเมริกา ได้นิยามความหมายเชิงเปรียบเทียบระหว่างคำว่า ยุทธศาสตร์ กับกลยุทธ์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ หมายถึง การกำหนดเป้าหมายระยะยาวขององค์กร
กลยุทธ์ หมายถึง วิธีการหรือกิจกรรมเฉพาะที่ใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น
ดังนั้น พอจะสรุปได้ว่า ความหมายของยุทธศาสตร์ มักจะเกี่ยวข้องกับระยะเวลาในการดำเนินการระยะยาว ชัยชนะมักเป็นการให้ความสำคัญกับระดับภาพรวม และเกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับสูง และที่สำคัญคือมุ่งตรงไปยังการสร้างตลาดใหม่ พื้นที่ใหม่ ส่วนกลยุทธ์จะเกี่ยวข้องกับมุมมองในระยะเวลาอันสั้น ให้ความสำคัญกับชัยชนะเฉพาะหน้า เกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับกลางลงมา หากเป็นการแข่งขันในสนามการค้า กลยุทธ์เพียงแค่เป็นการให้ความสำคัญกับชัยชนะในช่วงระยะเวลานั้นๆ เช่น การลดราคาเพื่อช่วงชิงตลาดเป็นต้น
โดยสรุป นิยามความหมายของยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ จึงหมายถึง การกำหนดทิศทาง เป้าหมาย ขอบเขตขององค์กรในระยะยาว และวัตถุประสงค์พื้นฐานขององค์กร ไม่สามารถมองได้จากมุมเดียว และควรถูกพิจารณาจากหลายแง่มุม ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างหลากหลาย ภายใต้ความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน ตลอดจนการเลือกที่จะทำอะไร และไม่ทำอะไร เพื่อมุ่งสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในที่สุด
นอกจากนั้น ภายใต้นิยามความแตกต่างระหว่าง ยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ นักยุทธศาสตร์จะต้องพิจารณาจากระยะเวลาในการดำเนินการ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเป้าหมายแห่งชัยชนะนั้นๆ ด้วย โดยยุทธศาสตร์มักให้ความสำคัญกับภาพรวม ระยะเวลาที่ยาวนาน ผู้ที่เกี่ยวข้องมักเป็นผู้บริหารระดับสูง ส่วนกลยุทธ์นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับระยะเวลาการดำเนินงานที่สั้นและเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจกับความสำคัญของการบริหารทั้งยุทธศาสตร์และกลยุทธ์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่นักยุทธศาสตร์จะต้องพิจารณา
ในหัวข้อถัดไป จึงขอกล่าวถึง ความสำคัญของการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ซึ่งเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการตอบสนองต่อหลักการของยุทธศาสตร์ต่อไป