Skip to content

พัฒนาการทางความคิดด้านกลยุทธ์ปฐมบทที่ 3 ว่าด้วยความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และกลยุทธ์)

นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา โลกทางธุรกิจและด้านอื่นๆได้มีการปรับตัวเพื่อให้ตนเองมีความยั่งยืนอยู่ได้ตลอดเวลา การพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปฏิบัติ ตลอดจนผู้บริหารองค์กรไม่ควรมองข้ามและต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตาม พัฒนาทางความคิดด้านกลยุทธ์นั้น จะต้องอาศัยประสบการณ์และกระบวนการในการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ภายใต้หลักการเรียนรู้ทางประสบการณ์ของผู้คนในยุคนั้นๆ สำหรับในหัวข้อนี้ ผู้เรียบเรียงขอนำเสนอรายละเอียดเพื่อให้เห็นที่มาที่ไปของพัฒนาการทางความคิดด้านกลยุทธ์ โดยสามารถแบ่งออกเป็นช่วงสำคัญ ๆ ดังนี้

          1.ยุคเริ่มต้น (500 ปีก่อนคริสตกาล):มีการพัฒนาและปรับใช้ดังประเด็นต่อไปนี้

                   1.1 กลยุทธ์ทางทหารและการป้องกัน มีการให้ความสำคัญกับการวางแผนการสงคราม โดยมักมุ่งเน้นไปที่การป้องกันและการโจมตี การวางแผนการรบและการเคลื่อนไหวทางทหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับยุคนี้ 2 คนคือ

                   – ซุนวู (Sun Tzu) ในหนังสือ The Art of War ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการสงครามที่เน้นการวิเคราะห์ศัตรู การใช้ความลับและการหลอกลวง การหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยตรงเมื่อเป็นไปได้ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลักการสำคัญใน The Art of War เช่น

1.รู้จักศัตรูและรู้จักตนเอง: ความรู้เกี่ยวกับศัตรูและตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำสงคราม ถ้าคุณรู้จักศัตรูและตัวเอง คุณจะไม่ต้องกลัวผลของร้อยศึก ตัวอย่างเช่น การรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งสองฝ่ายเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้องและได้เปรียบ

2.การใช้ภูมิศาสตร์ในการต่อสู้ “สนามรบคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดสินผลของสงคราม” การเลือกสถานที่ที่มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เช่น การเลือกพื้นที่ที่มีป้องกันธรรมชาติ หรือการเลือกจุดที่สามารถปิดทางเข้าของศัตรูจะช่วยให้ฝ่ายเรามีโอกาสชนะสูงขึ้น

3.การวางแผนที่รอบคอบและการเลือกเวลา: การเลือกเวลาที่เหมาะสมในการทำสงครามหรือป้องกันเป็นสิ่งที่สำคัญ ซุนวูกล่าวว่า “การทำสงครามที่ดีคือการทำสงครามเมื่อคุณมีชัยชนะอยู่ในมือแล้ว” การคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือความคิดเห็นของประชาชนในเวลานั้น จะช่วยให้ได้ชัยชนะอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ                  

4.การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ: ซุนวูกล่าวว่า “ในสงคราม ทรัพยากรคือสิ่งสำคัญ”การใช้ทรัพยากรทั้งทางการทหารและเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถรักษาสมดุลระหว่างการต่อสู้และการฟื้นฟูได้

อเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander III of Macedon) เป็นหนึ่งในผู้นำทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาขึ้นครองบัลลังก์เมื่ออายุเพียง 20 ปี และเริ่มต้นการทหารอย่างรวดเร็ว โดยสามารถสร้างอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลกโบราณในเวลาเพียงไม่ถึง 10 ปี หลังจากที่เขาสามารถพิชิตเปอร์เซีย อียิปต์ อินเดีย และดินแดนอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างนั้น กลยุทธ์ทางทหารของเขาถูกยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของการบุกตะลุยและการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการใช้ยุทธวิธีที่หลากหลายและความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันดังประเด็นต่อไปนี้(Mann, 2013; Lazenby, 2004)

                     1.การใช้ยุทธวิธีการบุกที่เร็วและรุนแรง อเล็กซานเดอร์ มีชื่อเสียงในเรื่องของการบุกที่รวดเร็วและรุนแรง โดยการใช้ความเร็วและความฉับไวในการเคลื่อนที่ของกองทัพเพื่อโจมตีศัตรูอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อเขามาถึงเมืองหรืออาณาจักรใหม่ เขาจะไม่รอให้ศัตรูเตรียมตัว แต่จะบุกทันทีเพื่อใช้ความประหลาดใจและโจมตีในเวลาที่เหมาะสม

                     2.การใช้กองทัพที่มีระเบียบและความหลากหลาย อเล็กซานเดอร์สามารถรวมกองทัพจากหลากหลายเชื้อชาติและชนชาติที่เขาครอบครอง โดยเฉพาะการผสมผสานระหว่างทหารมาซิโดเนียและทหารจากดินแดนต่างๆ ที่เขาปกครอง ทหารของเขามีการฝึกฝนที่หนักหน่วงและมีความสามารถในการใช้ทั้งอาวุธระยะประชิดและอาวุธระยะไกลอย่างมีประสิทธิภาพ

                   3.การใช้กลยุทธ์ทางจิตวิทยา หนึ่งในกลยุทธ์ที่อเล็กซานเดอร์ใช้คือการใช้จิตวิทยาในการทำสงคราม เขามักจะทำให้ศัตรูรู้สึกท้อถอยก่อนที่จะเริ่มการรบ ด้วยการใช้กลยุทธ์เช่นการโจมตีที่ไม่คาดคิด, การใช้ข่าวลือ, และการสร้างความกังวลให้กับฝ่ายศัตรู ตัวอย่างที่เด่นชัดคือการโจมตีของเขาในเมือง Tyre (ปัจจุบันคือเมืองในประเทศเลบานอน) อเล็กซานเดอร์ใช้วิธีการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในการบุกเมืองที่มีการป้องกันอย่างหนักหน่วง เขาใช้การสร้างสะพานที่ยาวมากเพื่อบุกเข้าเมือง ทำให้ฝ่ายศัตรูตกใจและไม่สามารถเตรียมตัวรับมือได้ทัน

                   4.การทำสงครามทางเรือและการใช้การล้อม นอกจากการทำสงครามบนบกแล้ว อเล็กซานเดอร์ยังมีความชำนาญในการทำสงครามทางเรือและการล้อมเมืองต่างๆ เขาใช้การโจมตีที่มีการวางแผนล่วงหน้าในการล้อมเมืองหรือฐานทัพของศัตรู โดยใช้เทคนิคในการรบทางทะเลและการขนส่งทัพทางน้ำเพื่อเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ของกองทัพ

1.2การใช้การหลอกลวงและกลยุทธ์จิตวิทยา เช่น การสร้างภาพลวงตา:ผู้ปกครองหรือผู้นำในยุคโบราณมักใช้กลยุทธ์การหลอกลวงเพื่อทำให้ศัตรูสับสนหรือหลงเชื่อ ตัวอย่าง: ซุนวูเน้นการใช้กลยุทธ์เชิงจิตวิทยาในการหลอกลวงศัตรู เช่น การสร้างภาพให้ศัตรูคิดว่ากองทัพของตนใหญ่กว่าความเป็นจริง หรือการโจมตีในเวลาที่ศัตรูไม่คาดคิด

                   1.3 การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้พื้นที่และทรัพยากรในเชิงกลยุทธ์: ในหลายกรณี กลยุทธ์ของยุคโบราณไม่จำกัดแค่การใช้กำลังทหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติและภูมิประเทศในการสร้างข้อได้เปรียบ ตัวอย่าง การใช้แม่น้ำหรือภูเขาเป็นเกราะป้องกันธรรมชาติ

                   1.4 การผสมผสานระหว่างการปกครองและกลยุทธ์ทหาร การสร้างอำนาจทางการเมือง: ผู้นำในยุคโบราณมักใช้การขยายอำนาจโดยการทำสงครามและการสร้างพันธมิตรทางการเมือง ตัวอย่าง ซีซาร์ (Julius Caesar) ใช้กลยุทธ์ในการขยายอำนาจโดยการร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรต่าง ๆ รวมถึงการใช้การรบในเชิงรุกและการสร้างความเคารพจากทั้งในและนอกประเทศ

          2.ยุคกลาง(500-1500 ค.ศ.): การพัฒนาความคิดทางกลยุทธ์ได้รับอิทธิพลจากการสู้รบในยุโรปและเอเชีย โดยมีกลยุทธ์ทางทหารที่สำคัญ เช่น กลยุทธ์ของนโปเลียน (Napoleon)ในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยหลักการ               กลยุทธ์ของนโปเลียนจะเน้นที่การใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและการประสานงานระหว่างหน่วยทหารในสนามรบ เพื่อให้บรรลุชัยชนะในสงคราม หรือการใช้กลยุทธ์ทางการทหารที่ยืดหยุ่นดังเช่นกรณีของ การป้องกันปราสาทซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันอาณาจักรจากการโจมตีภายนอก(Runciman, S,2001) การใช้ ทหารม้า และการพัฒนากลยุทธ์ในสนามรบที่เหมาะสมกับการใช้ทัพม้าในการโจมตี(Barber, R,1978)

          3. ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (ค.ศ.1760-ค.ศ.1840) พัฒนาการทางความคิดด้านกลยุทธ์ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) เริ่มต้นในช่วงปี ค.ศ. 1760 และดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19 (ประมาณ ค.ศ. 1840) โดยในช่วงนี้การพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งทำให้กลยุทธ์ในการผลิต การบริหารจัดการ และการขยายตลาดมีการพัฒนาไปอย่างมาก โดยมีแนวคิดที่สำคัญดังนี้

                   แนวคิดที่ 1 การผลิตที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Production) เป็นการพัฒนาของเครื่องจักร เช่น เครื่องปั่นด้าย และ เครื่องทอผ้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต สิ่งนี้ทำให้กลยุทธ์ในการผลิตเปลี่ยนไปจากการใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลัก ไปสู่การใช้เครื่องจักรที่สามารถผลิตได้ในปริมาณมากและเร็วขึ้น(Barber, 1978)

                   แนวคิดที่ 2 การจัดการทรัพยากรและแรงงาน (Resource and Labor Management) เป็น การเกิดขึ้นของโรงงานและการใช้แรงงานจำนวนมากจากชนชั้นแรงงาน ช่วยให้การจัดการทรัพยากรและแรงงานมีความสำคัญมากขึ้น เช่น การวางแผนการผลิต การควบคุมการทำงานของแรงงานที่มีประสิทธิภาพ(Runciman,2001)

                   แนวคิดที่ 3 การขยายตลาด (Market Expansion) เป็นการผลิตที่มีประสิทธิภาพทำให้สินค้าสามารถผลิตได้ในปริมาณมาก และการพัฒนาของระบบการขนส่งและการสื่อสารทำให้สามารถขยายตลาดไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้กว้างขวางขึ้น(Barber, 1978)

                   แนวคิดที่ 4 การเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินและการธนาคาร (Financial Systems and Banking) เป็นการพัฒนาในด้านการเงินและธนาคารทำให้การลงทุนในธุรกิจต่างๆ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินทุนสูง การสร้างกลยุทธ์ทางการเงินที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการขยายธุรกิจ(Runciman,2001)

                   แนวคิดที่ 5 การพัฒนาทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technological Development and Innovation) เป็น กลยุทธ์ด้านการนวัตกรรมและเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในยุคนี้ โดยการประดิษฐ์เครื่องจักรใหม่ๆ เช่น เครื่องจักรไอน้ำ ได้ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและขยายขีดความสามารถของอุตสาหกรรม(Barber, 1978)

          4.ยุคสงครามโลก (ค.ศ.1914-ค.ศ.1945) ได้เกิดการพัฒนาแนวคิด กลยุทธ์และนโยบายต่างๆ ที่สำคัญเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดจากสงคราม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในทางทหารและเศรษฐกิจที่มีผลต่อทิศทางของโลก ดังนี้

                   แนวคิดที่ 1 กลยุทธ์การทำสงครามแบบโลกาภิวัตน์ (Global Strategy) โดย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 การทำสงครามไม่เพียงแต่จำกัดแค่การสู้รบในสนามรบเดียว แต่ยังขยายไปทั่วโลก สงครามได้กลายเป็นเรื่องของการรวมตัวของพันธมิตรหลายประเทศที่ต้องใช้กลยุทธ์การทำสงครามระดับโลก โดยต้องคิดกลยุทธ์ในหลายมิติ เช่น การบุกโจมตีและการจัดการทรัพยากรจากหลากหลายทวีป

                   แนวคิดที่ 2 กลยุทธ์การรบแบบ “Total War” โดยถือว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ถือเป็นสงครามที่ไม่จำกัดเฉพาะทหารเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงพลเรือนและทรัพยากรในประเทศ กลยุทธ์ “Total War” หรือสงครามเต็มรูปแบบเน้นการใช้ทรัพยากรทั้งหมดของชาติในการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้แรงงานมนุษย์ในภาคการผลิตหรือการระดมทรัพยากรทางการเงินจากพลเรือน(Keegan,1998)

                   แนวคิดที่ 3 การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในสงคราม (Technology and Innovation in Warfare) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใช้ในการรบ เช่น การใช้เครื่องบินรบ รถถัง เรือดำน้ำ และอาวุธนิวเคลียร์ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินกลยุทธ์การรบ การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการรบและสร้างความได้เปรียบทางทหาร

                   แนวคิดที่ 4 กลยุทธ์การป้องกันทางการทหาร (Defensive Strategy) ในสงครามโลกครั้งที่ 1 การใช้กลยุทธ์การขุดคูน้ำและการสร้างป้อมปราการที่แข็งแกร่งบนแนวรบหลักได้กลายเป็นกลยุทธ์หลักในการป้องกัน เช่น กลยุทธ์ Trench Warfare(Fall,1961)หรือการทำสงครามในแนวรบที่ขุดเป็นหลุมลึกเพื่อหลบการยิง

                   แนวคิดที่ 5 กลยุทธ์การเจรจาและการใช้การทูตในสงคราม (Diplomatic Strategy) การเจรจาทางการทูตและการสร้างพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของการทำสงคราม เช่น การเจรจาระหว่างสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรซึ่งสามารถสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการต่อต้านฝ่ายอักษะ

                   แนวคิดที่ 6 การใช้กลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ (Economic Strategy) การจัดการเศรษฐกิจในการทำสงครามก็มีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรทางการเงินในการสนับสนุนการผลิตอาวุธและการรบ การใช้ สงครามเศรษฐกิจ เช่น การบังคับใช้การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการควบคุมทรัพยากรสำคัญ

          5.ยุคหลังสงครามโลก(ค.ศ.1945-ค.ศ.1991) การพัฒนาแนวคิดกลยุทธ์และนโยบายต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการปกครอง การพัฒนาเศรษฐกิจ การสร้างความสงบและเสถียรภาพในระดับโลก รวมทั้งการรับมือกับความท้าทายในระดับภูมิภาคและระดับโลก ดังนี้

                   แนวคิดที่ 1 แนวคิดสงครามเย็น เป็นการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจสองขั้ว ได้แก่ สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้จะไม่มีการสู้รบโดยตรง แต่มีการใช้กลยุทธ์ทางการทูต การปฏิวัติการเมือง และสงครามตัวแทนในพื้นที่ต่างๆ เช่น เกาหลี เวียดนาม และคิวบา เกิดผลกระทบที่สำคัญในเวลาต่อมาคือ การสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ เช่น NATO และ Warsaw Pactรวมถึงการขยายอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ในประเทศไทยนอกจากผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบในเวียดนามแล้ว ยังมีผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการพัฒนาชุมชนซึ่งมีอิทธิพลต่อประเทศไทยในปัจจุบัน

แนวคิดที่ 2 แนวคิดของการสร้างสันติภาพและการป้องกันการทำลายล้าง (Peace-building and Anti-nuclear Strategies)ได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ และการสร้างสันติภาพในระดับโลกผ่านองค์กรต่างๆ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ การลดการพึ่งพาอาวุธนิวเคลียร์ในสงครามและการเสริมสร้างสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการเจรจาทางการทูต

                   แนวคิดที่ 3 การพัฒนาเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (Liberal Economic Development) โดย ได้กลายเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีการสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศและการเปิดเสรีทางการเงิน เช่น การก่อตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารโลกเพื่อลดอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจในหลายประเทศหลังสงคราม รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุโรปผ่าน แผนมาร์แชล (Marshall Plan)

แนวคิดที่ 4 การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง (Civil Rights Movements) ซึ่งเกิดจากแนวคิดที่ว่า สิทธิพลเมืองและสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญและควรเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับ เขียนโดย ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) ในปี 1963 ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกที่เมืองเบอร์มิงแฮม รัฐแอละแบมา โดยในจดหมายนี้ ดร. คิงได้ตอบสนองต่อข้อวิจารณ์จากกลุ่มผู้นำทางศาสนาและผู้นำชุมชนขาวที่เรียกร้องให้เขาหยุดการประท้วงและการต่อต้านทางการเมืองในขณะนั้น(King Jr,1963)

แนวคิดที่ 5 การสร้างรัฐชาติใหม่และการยกเลิกอาณานิคม (Decolonization and Nation-Building) โดยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศในเอเชียและแอฟริกาได้รับการปลดปล่อยจากการปกครองของจักรวรรดิและกลายเป็นประเทศอิสระ การสร้างรัฐชาติใหม่จึงกลายเป็นแนวคิดสำคัญในการพัฒนา เกิดการขยายตัวของรัฐเอกราชในหลายพื้นที่ เช่น อินเดีย, อินโดนีเซีย, อียิปต์ และหลายประเทศในแอฟริกา

                   แนวคิดที่ 6 การสร้างระบบโลกาภิวัตน์ (Globalization) โดยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แนวคิดการสร้างระบบโลกาภิวัตน์เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวของเทคโนโลยี การค้า และการลงทุนข้ามชาติที่ทำให้ประเทศต่างๆ พึ่งพากันมากขึ้น สำหรับแนวคิดนี้ ผู้ที่กล่าวถึงและได้รับการยอมรับมากในยุคปัจจุบันคือ Friedman(2005)โดยได้เขียนหนังสือชื่อ The World Is Flat ซึ่งเป็นการอธิบายถึงกระบวนการโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โดยการใช้เทคโนโลยีและการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกในการทำให้โลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น การเคลื่อนไหวของเงินทุน ข้อมูล และการค้าได้ทำให้เศรษฐกิจโลกเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้นจนเหมือนกับโลกที่ “แบนราบ” อันหมายถึงการที่ระยะทางและอุปสรรคที่เคยจำกัดการสื่อสารและการเชื่อมต่อของประเทศต่าง ๆ ได้ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี, อินเทอร์เน็ต, และการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ทำให้โลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น มีความสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก แม้แต่ประเทศที่ไม่ได้พัฒนาเท่ากับประเทศชั้นนำ กลายเป็นความเสมอภาคในทางธุรกิจ เพราะจะทำให้ผู้คนสามารถแข่งขันในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติหรืออุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การเป็นผู้ประกอบการโดยไม่จำเป็นต้องมีปัจจัยการผลิตดังเช่นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

                   แนวคิดที่ 7 การสนับสนุนประชาธิปไตย (Support for Democracy and Human Rights)แนวคิดที่สำคัญในยุคหลังสงคราม มีการส่งเสริมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แนวคิดนี้ตรงกับความต้องการของปัจเจกชนมากที่สุดในปัจจุบัน และกลายเป็นกลยุทธ์หลักของประเทศตะวันตกในการชักชวนปัจเจกชนที่เหลือในกลุ่มประเทศสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ ตลอดจนการปกครองในรูปแบบอื่นต่อต้านรัฐบาลของตนเองและนำไปสู่ค่านิยมใหม่ในปัจจุบัน

          6.ยุคปัจจุบัน(1991-ปัจจุบัน) ในยุคปัจจุบัน แนวคิดสำคัญต่างๆ ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงตามความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาในหลายมิติทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก แนวคิดที่สำคัญในยุคปัจจุบัน ได้แก่

                   แนวคิดที่ 1 โลกาภิวัตน์ (Globalization) เป็นยุคที่มีการกล่าวถึงเชื่อมต่อมาจากยุคหลังสงคราม เพราะแนวคิดโลกาภิวัตน์ยังคงเป็นแนวคิดสำคัญในยุคปัจจุบัน ซึ่งเน้นการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระหว่างประเทศต่างๆ โลกาภิวัตน์ได้นำมาซึ่งการค้าข้ามชาติ การเคลื่อนย้ายทุนและแรงงาน และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น เช่น การขยายตัวของธุรกิจข้ามชาติและตลาดที่เชื่อมโยงกัน และในปัจจุบันยังมีเครื่องมือในการเชื่อมโยงเข้าถึงกันได้ง่ายมากที่สุดคือเครือข่ายดิจิทัล

                   แนวคิดที่ 2 เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้ข้อมูลและอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือหลัก เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ การใช้ข้อมูลใหญ่ (Big Data) และการปฏิรูปธุรกิจแบบดิจิทัล กลายเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน และการพัฒนาเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) เช่น แพลตฟอร์มทางการเงินนำไปสู่เงินไร้กระดาษ(Paperless Money)ในปัจจุบัน

                   แนวคิดที่ 3 แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) เป็นแนวคิดที่ได้รับการพัฒนาผ่านการประชุมและเอกสารสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก คณะกรรมการโลกเพื่อการพัฒนาและสิ่งแวดล้อม (Brundtland Commission) ในปีค.ศ. 1987 ซึ่งนำโดย Gro Harlem Brundtland (นายกรัฐมนตรีหญิงของนอร์เวย์ในขณะนั้น) และได้ผลลัพธ์ในเอกสารที่ชื่อว่า “Our Common Future” หรือที่รู้จักในชื่อ Brundtland Report (Brundtland,1987) โดยรายละเอียดที่สำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนคือ “การพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการของปัจจุบันโดยไม่ทำให้ความสามารถในการตอบสนองความต้องการในอนาคตของรุ่นต่อไปลดลง” โดยแนวคิดนี้เน้นไปที่การบรรลุความสมดุลระหว่างสามมิติหลัก ได้แก่

  • เศรษฐกิจ: การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและไม่ขัดขวางการพัฒนาในระยะยาว
  • สังคม: การลดความยากจน ความไม่เสมอภาค และการสร้างโอกาสที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน
  • สิ่งแวดล้อม: การปกป้องสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

แนวคิดที่ 4 ความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) การส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมคือการทำให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในสังคม การลดความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการส่งเสริมสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ เช่น สิทธิในการศึกษา การทำงาน และการเข้าถึงบริการสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อ การส่งเสริมสิทธิทางสังคมและการปฏิรูปกฎหมายในหลายประเทศ เช่น การรับรองสิทธิการศึกษาและการลดช่องว่างรายได้

  แนวคิดที่ 5 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เกิดขึ้นจากแนวคิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตมนุษย์ แนวคิดนี้มุ่งเน้นการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการปรับตัวและการลดการปล่อยคาร์บอน

แนวคิดที่ 6 ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถทำงานโดยอัตโนมัติและมีความสามารถในการเรียนรู้จากข้อมูล แนวคิดนี้มีการประยุกต์ใช้ในหลายด้าน เช่น การแพทย์ การขนส่ง และการเงิน ส่งผลต่อ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการปฏิรูปอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างหุ่นยนต์อัจฉริยะ และการพัฒนาแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ

  แนวคิดที่ 7 การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ เกิดจากแนวคิดการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ เน้นการต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายและสังคมเพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการยอมรับและเคารพในสิทธิของพวกเขา ในปัจจุบันมีการ รับรองสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ เช่น การอนุมัติการแต่งงานเพศเดียวกันและการป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเพศในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศไทย

         กล่าวโดยสรุป พัฒนาการของความคิดเชิงกลยุทธ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากการเน้นไปที่การสงครามและการขยายอำนาจมาสู่การใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อบรรลุเป้าหมายในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทหาร การค้า หรือการบริหารการเมือง กลยุทธ์ในแต่ละยุคสมัยมักจะได้รับการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และในปัจจุบัน การวางแผนและการใช้ข้อมูลเพื่อประเมินและคาดการณ์กลายเป็นหัวใจสำคัญของการวางกลยุทธ์ในทุก ๆ ด้าน ขององค์กร เช่น การกำหนดทิศทางและการขยายธุรกิจ พฤติกรรมเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Strategy)เสมอ หรือแม้กระทั่ง กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy) ที่มุ่งเน้นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ  กลยุทธ์การดำเนินงาน(Operational Strategy) ก็มีบทบาทในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในการดำเนินการระยะยาว การใช้ ข้อมูลและเทคโนโลยี ในการคาดการณ์และวางแผนธุรกิจเป็นส่วนสำคัญในยุคปัจจุบัน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะขอกล่าวถึงในหัวข้อถัดไปคือประเภทของกลยุทธ์ในองค์กร