ประเภทของกลยุทธ์ในองค์กรมีความสำคัญในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์กรและการสร้างความสำเร็จในระยะยาว โดยสามารถแบ่งประเภทกลยุทธ์ออกเป็น 3 ประเภทหลักๆคือ
1.กลยุทธ์ระดับองค์กร(Corporate Strategy) คือการวางแผนและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางและโครงสร้างขององค์กรในระยะยาว โดยมุ่งเน้นในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและการเจริญเติบโตขององค์กร กลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในระดับสูงสุดขององค์กร ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางของธุรกิจทั้งในแง่ของการลงทุน การขยายตลาด การเข้าซื้อกิจการ หรือแม้แต่การถอนตัวจากธุรกิจที่ไม่ทำกำไร โดยประเภทของกลยุทธ์มีดังต่อไปนี้(Porter,1980);( Hitt, Ireland, & Hoskisson,2017)
1.1.กลยุทธ์การเติบโต (Growth Strategy): เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรใช้เพื่อเพิ่มขนาดหรือการเติบโตของธุรกิจ โดยการขยายตลาดผลิตภัณฑ์หรือบริการ หรือการเข้าซื้อกิจการจากภายนอก ตัวอย่างเช่น การเปิดตลาดใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการขยายธุรกิจในต่างประเทศ หรือในส่วนของหน่วยงานรัฐ เช่น กรมการขนส่งโดยการเพิ่มเส้นทางรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่ที่ขาดแคลนการขนส่งสาธารณะ หรือการเปิดบริการใหม่ ๆ เช่น การให้บริการขอใบขับขี่ออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น โดยในส่วนของหน่วยงานภาครัฐนั้น มักจะเกี่ยวข้องกับ การขยายบริการ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ การร่วมมือกับภาคเอกชน(เช่นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก) การขยายเครือข่ายการร่วมมือ(เช่นการศึกษา) การเน้นการพัฒนาทักษะและการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานของบุคลากรภาครัฐให้มีความพร้อมและมีทักษะที่ทันสมัย
1.2.กลยุทธ์การควบรวมและซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions Strategy): เป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการรวมกิจการหรือการซื้อกิจการอื่นๆ เพื่อขยายขนาดธุรกิจหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยเฉพาะในการที่องค์กรต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด หรือเพิ่มทรัพยากรในการแข่งขัน เช่นกรณีของ การควบรวมเพื่อขยายตลาด (Market Expansion) ของ Disney และ Pixar[1] การควบรวมครั้งนี้ช่วยให้ Disney ขยายตลาดในอุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันได้กว้างขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ ๆ ที่ Pixar มีอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถนำเอาผลงานที่เป็นที่นิยมจาก Pixar มาเสริมสร้างแบรนด์ Disney ให้แข็งแกร่งขึ้น
ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทยที่เคยทำคือ การควบรวมกิจการของ ธนาคารมณฑล และ ธนาคารเกษตร ซึ่งทั้งสองธนาคารเป็นของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ส่งผลให้กลายเป็นธนาคารกรุงไทยในปัจจุบัน[2]
1.3.กลยุทธ์การควบคุมต้นทุน (Cost Leadership Strategy) ได้รับการกล่าวถึงโดย Michael E. Porter(1980) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามกลยุทธ์ที่เขานำเสนอในงานวิจัย “Competitive Strategy” เผยแพร่ในปี 1980 โดยมุ่งเน้นไปที่การเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ โดยไม่จำเป็นต้องเน้นที่ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์แต่เน้นการลดต้นทุนเพื่อให้สามารถเสนอราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง และยังคงรักษากำไรได้ ทั้งนี้หลักการของกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนมีดังนี้
1.3.1 การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
เพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย โดยต้นทุนคงที่สามารถกระจายไปยังผลิตภัณฑ์จำนวนมาก ซึ่งช่วยให้ต้นทุนโดยรวมต่ำลง โดยหลักของ Economies of Scale คือความได้เปรียบขององค์กรที่จะทำให้ต้นทุนถูกลง เมื่อต้นทุนถูกลงจะทำให้ Margin หรือส่วนต่างของกำไรเพิ่มขึ้น และหากจะอ้างถึงสายการผลิตในโรงงาน การผลิตเพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนลดลง บริษัทใหญ่ มีการลงทุนขนาดใหญ่ กู้เงินก้อนใหญ่ทำให้ดอกเบี้ยถูก จึงทำให้ “ต้นทุนทางการเงินถูกลง” บริษัทที่มีแบรนด์สินค้าแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องโฆษณา หรือโฆษณาน้อย ส่งผลให้ “ต้นทุนค่าโฆษณาถูกลง” หรือ บริษัทมีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ – ปลายน้ำ ควบคุมทั้ง Supply Chain ส่งผลให้ “ต้นทุนคุ้มค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งถูกลง”
หากจะเปรียบ Economies of Scale กับการค้าระหว่างประเทศ เช่น หากจะค้าขายกับประเทศที่มี่จำนวนผู้บริโภคจำนวนมาก เช่น ประเทศจีน หรือ อินเดีย การติดต่อค้าขายโดยการส่งสินค้า หรือวัตถุดิบไปแปรรูป แล้วขาย ณ ประเทศ เหล่านั้น จะส่งผลให้ต้นทุนลดลง ส่วนต่างของกำไรก็จะสูงขึ้น เป็นต้น
1.3.2 การปรับปรุงกระบวนการผลิต คือ การพัฒนาหรือปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน จะช่วยลดต้นทุนโดยรวม เช่น แนวคิดลีน (Lean) หรือ วิธีการในการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริการโดยการลดความสูญเสีย (waste) และเพิ่มคุณค่าให้สูงสุด (value) โดยไม่ต้องเพิ่มทรัพยากร แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาและนิยมใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตตั้งแต่ยุค 1990 โดยเฉพาะในบริษัท Toyota ซึ่งได้มีการพัฒนาแนวคิดที่เรียกว่า “Toyota Production System” (TPS) ที่ช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดเวลาการผลิตและการใช้ทรัพยากรให้ต่ำที่สุด (Ohno,1988);(Liker,2021)
1.3.3 การเจรจาต่อรองกับผู้จัดหาวัตถุดิบ คือ การจัดการกับซัพพลายเออร์เพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิต เช่น การเจรจาเพื่อขอราคาส่วนลด หรือการซื้อวัตถุดิบในปริมาณมาก
1.3.4 การใช้แรงงานหรือทรัพยากรที่มีต้นทุนต่ำ คือ
การเลือกใช้แรงงานหรือทรัพยากรที่มีต้นทุนต่ำกว่า โดยไม่กระทบต่อคุณภาพสินค้า ซึ่งอาจเป็นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติในการผลิตหรือการเลือกใช้แรงงานในพื้นที่ที่มีค่าแรงต่ำ
1.3.5 การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น คือการลดค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตหลัก เช่น การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหรือการตลาดที่ไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น Thai Airways (การบินไทย) เป็นการปรับปรุงกระบวนการการบินและการใช้เครื่องบินรุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันและค่าใช้จ่าย เพื่อควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานที่สูง เช่น การลดต้นทุนในแผนการจองที่นั่งและเพิ่มการใช้เครื่องบินในเส้นทางที่มีความต้องการสูง
1.3.6 การเสนอราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่ง การเสนอสินค้าหรือบริการในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ ซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าที่สนใจสินค้าราคาถูก
1.3.7 การควบคุมต้นทุนของกิจกรรมต่างๆ คือ การจัดการและควบคุมต้นทุนในทุกกิจกรรมขององค์กรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การขนส่ง การจัดเก็บ และการกระจายสินค้า ตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับประเด็นนี้คือ 7-Eleven
1.4.กลยุทธ์การแตกตัวหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Diversification Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่องค์กร มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์หรือบริการ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณค่าหรือคุณสมบัติพิเศษที่ไม่สามารถหาจากคู่แข่งได้ โดยมุ่งหวังที่จะสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีแม้ว่าจะตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่ง (Porter, 1980) ความแตกต่างนี้อาจเป็นในด้านคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ การบริการ หรือประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับ สำหรับลักษณะของกลยุทธ์การแตกตัวคือ
1.4.1 การสร้างคุณค่าพิเศษ คือ ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่พัฒนาออกมาจะต้องมีคุณลักษณะที่ทำให้ลูกค้าเห็นว่าแตกต่างและมีมูลค่ามากกว่า เช่น การออกแบบที่ดีขึ้น ฟังก์ชันใหม่ที่เป็นนวัตกรรม หรือการบริการลูกค้าที่เหนือกว่าคู่แข่ง
1.4.2 การสร้างประสบการณ์เฉพาะตัว การนำเสนอประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ เช่น บริการที่ตอบสนองได้รวดเร็ว การให้บริการแบบเฉพาะบุคคล หรือการสร้างประสบการณ์ในการใช้สินค้าที่น่าจดจำ
1.4.3 การตั้งราคาแบบพรีเมียม ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แตกต่างมักมีราคาที่สูงกว่าของคู่แข่ง ซึ่งลูกค้าพร้อมที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้นเพื่อแลกกับคุณภาพหรือประสบการณ์ที่แตกต่าง
1.4.4 การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านการบริการหลังการขายหรือการมีส่วนร่วมกับลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างกลยุทธ์แตกตัวเช่น รถไฟฟ้า Tesla กลยุทธ์คือ เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป เช่น ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autopilot) และประสิทธิภาพของรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่า ราคาของ Tesla จะสูง แต่ลูกค้าพร้อมที่จะจ่ายสำหรับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและคุณภาพที่เหนือกว่า
1.5.กลยุทธ์การลดขนาด (Retrenchment Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรใช้เพื่อปรับตัวเมื่อพบกับปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินงาน เช่น การลดต้นทุน การลดขนาดกิจการ หรือการเลิกธุรกิจที่ไม่ทำกำไร โดยมุ่งหวังที่จะรักษาความสามารถในการดำเนินธุรกิจระยะยาวและฟื้นฟูกิจการให้กลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง กลยุทธ์นี้มักถูกนำมาใช้ในช่วงที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงินหรือมีภาระหนี้สินสูง โดยลักษณะของกลยุทธ์การลดขนาดมีดังนี้ (Hitt, Ireland & Hoskisson ,2016)
1.5.1 การลดต้นทุน (Cost Cutting) คือการลดค่าใช้จ่ายในหลายๆ ด้าน เช่น การลดจำนวนพนักงาน การปิดโรงงานที่ไม่ทำกำไร หรือการลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการตลาด
1.5.2 การขายสินทรัพย์ (Asset Sales) คือการขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น เช่น อาคารที่ไม่ทำกำไร หรือธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท
1.5.3 การควบรวมกิจการ (Mergers) หรือการซื้อกิจการ (Acquisitions) คือ การลดขนาด และอาจรวมถึงการควบรวมกิจการหรือการขายกิจการส่วนหนึ่ง เพื่อทำให้บริษัทมีขนาดเล็กลงและมีความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น
1.5.4 การลดขอบเขตการดำเนินธุรกิจ (Divestiture) คือ การหยุดหรือจำกัดการทำธุรกิจในบางตลาดหรือบางผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำกำไร เพื่อมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลักที่สามารถทำกำไรได้
1.6.กลยุทธ์การแยกหรือการแยกธุรกิจ (Spin-off Strategy) คือกลยุทธ์ที่บริษัทแม่แยกธุรกิจหรือหน่วยงานบางส่วนออกมาเป็นบริษัทใหม่ โดยบริษัทแม่มักจะยังคงถือหุ้นในบริษัทใหม่บางส่วน ซึ่งจะมีการดำเนินงานอย่างอิสระจากบริษัทแม่ กลยุทธ์นี้มักใช้เพื่อให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลักได้ดีขึ้น หรือเพื่อให้หน่วยธุรกิจที่แยกออกไปสามารถเติบโตและพัฒนาตามสภาพแวดล้อมของตลาดใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แตกต่างออกไป โดยลักษณะของกลยุทธ์การแยกธุรกิจคือ
1.6.1 การแยกหน่วยธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ทำกำไร โดยบริษัทแม่อาจเลือกแยกธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไป เพื่อให้ธุรกิจหลักสามารถเติบโตได้ โดยที่ธุรกิจที่แยกออกไปสามารถดำเนินการได้อย่างอิสระ
1.6.2 การสร้างโอกาสใหม่สำหรับบริษัทใหม่ คือ บริษัทใหม่ที่แยกออกมาอาจมีความยืดหยุ่นในการตัดสินใจและกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตลาดและลูกค้าของตน ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการเติบโตและการสร้างมูลค่า
1.6.3 การใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ การแยกออกมา โดยบริษัทแม่สามารถมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลักและใช้ทรัพยากรของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพ
1.6.4 การดึงดูดนักลงทุนใหม่ โดยบริษัทที่แยกออกมาอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่มองเห็นศักยภาพในการเติบโตและมีการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทแม่
[1] The Walt Disney Company หรือ Disney เป็นบริษัทบันเทิงและสื่อข้ามชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในส่วนของ Pixar คือ สตูดิโอคอมพิวเตอร์แอนิเมชันอเมริกัน เป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์คอมพิวเตอร์แอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านคำวิจารณ์และในเชิงพาณิชย์
[2] ธนาคารมณฑล และธนาคารเกษตร ได้ควบรวมกิจการในปี พ.ศ.2509 และกลายเป็นธนาคารกรุงไทย โดยการรวมกิจการนี้เกิดขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีธนาคารพาณิชย์ของรัฐบาลเพียงแห่งเดียว
2.กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategy) หมายถึง แผนการที่ธุรกิจหรือหน่วยงานในองค์กรใช้ในการแข่งขันในตลาด เพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งและบรรลุเป้าหมายระยะยาว โดยกลยุทธ์นี้เน้นการวางแผนเกี่ยวกับการเลือกตลาด การจัดการทรัพยากร และการกำหนดทิศทางสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยประเภทของกลยุทธ์ระดับธุรกิจมีดังนี้
2.1 กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership Strategy) โดย กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการเป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีหรือกระบวนการที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ต่ำกว่าแข่งขันได้ โดยรักษาคุณภาพไว้
2.2 กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง (Differentiation Strategy) คือ การสร้างสินค้าหรือบริการที่แตกต่างจากคู่แข่งในแง่ของคุณภาพ ฟังก์ชันการใช้งาน หรือแบรนด์ เพื่อดึงดูดลูกค้า ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ของ Apple Tesla เป็นต้น
2.3 กลยุทธ์การมุ่งเน้นตลาด (Focus Strategy) คือการมุ่งเน้นไปที่กลุ่มตลาดเฉพาะหรือส่วนย่อยในตลาด โดยพิจารณาความต้องการเฉพาะของลูกค้าในตลาดนั้นๆ เช่น Mercedes-Benz ซึ่งมุ่งเน้นลูกค้าพรีเมียม
สำหรับกระบวนการในการพัฒนากลยุทธ์ระดับธุรกิจที่สำคัญคือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมหรือ SWOT Analysis การวิเคราะห์อุตสาหกรรม หรือ Industry Analysis เป็นต้น
3.กลยุทธ์ระดับฟังก์ชัน (Functional Strategy) คือ กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแผนการและการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในระดับแผนกหรือหน่วยงานเฉพาะ เช่น การตลาด การผลิต การเงินหรือทรัพยากรบุคคล เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์ระดับองค์กรหรือระดับธุรกิจ โดยกลยุทธ์ในระดับฟังก์ชันจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการทำให้แผนก หรือฟังก์ชันนั้นๆ สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ สหัรบตัวอย่างกลยุทธ์ระดับฟังก์ชันมีดังนี้
- กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy) คือการพัฒนาแผนการตลาดที่มุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การกำหนดกลยุทธ์การตั้งราคา การโฆษณา การส่งเสริม การขาย
- กลยุทธ์การผลิต (Production Strategy) คือ การพัฒนาแผนการผลิตที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การลดต้นทุน และการปรับปรุงคุณภาพ เช่น การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการพัฒนากระบวนการผลิตที่ทันสมัย เช่นการผลิตแบบ ลีน หรือในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย กลยุทธ์การผลิตคือ หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตบัณฑิต เป็นต้น
- กลยุทธ์ทรัพยากรบุคคล (Human Resource Strategy) คือ การพัฒนากลยุทธ์ที่เน้นการดึงดูด การฝึกอบรม และการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพ เช่น การพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมหรือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม โดยการพัฒนาทรัพยากรบุคคลต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และ กลยุทธ์การผลิตที่ระบุไว้ขององค์กร
- กลยุทธ์การเงิน (Financial Strategy) คือ การวางแผนทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทุน การบริหารสภาพคล่อง และการลงทุนเพื่อให้สามารถสนับสนุนกลยุทธ์ระดับธุรกิจ ตัวอย่างเช่น การจัดหาแหล่งเงินทุนใหม่เพื่อขยายธุรกิจหรือการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน ดังกรณีของมหาวิทยาลัยมีกระบวนการเขียนโครงการวิจัยเพื่อขอรับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์ในองค์กรมี 3 ประเภทหลักๆคือ กลยุทธ์ระดับองค์กรหรือ Corporate Strategy ซึ่งเป็น เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรใช้ในการกำหนดทิศทางและขอบเขตของกิจกรรมขององค์กรทั้งหมด โดยเน้นการตัดสินใจเกี่ยวกับประเภทของธุรกิจที่องค์กรจะเข้ามาเกี่ยวข้อง การขยายธุรกิจ หรือการพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ กลยุทธ์ระดับธุรกิจหรือ Business Strategy ซึ่งเป็น กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปที่การแข่งขันในตลาดหรือธุรกิจเฉพาะ โดยมุ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน และ กลยุทธ์ระดับฟังก์ชัน หรือ Functional Strategy ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นไปที่การพัฒนาแผนการและการตัดสินใจในแต่ละแผนกหรือฟังก์ชันเฉพาะขององค์กร เช่น การตลาด การผลิต การเงิน หรือทรัพยากรบุคคล โดยสนับสนุนกลยุทธ์ระดับองค์กรหรือธุรกิจ