ในช่วงที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปยังท่าเรือสบหรวย ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองยอง จังหวัดเชียงตุง รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยใช้เรือบรรทุกสินค้า (สุกร) เพื่อศึกษาการขนส่งสินค้าสัตว์มีชีวิตเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรือสบหรวย ท่าเรือสบหรวยตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ประมาณ 195 กิโลเมตร
การเดินทางโดยเรือขนส่งสินค้าจากท่าเรือเชียงแสนไปยังท่าเรือสบหรวยใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง ขณะที่การเดินทางด้วยเรือโดยสารจะใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง การศึกษาครั้งนี้มีความสำคัญในการสำรวจเส้นทางการขนส่งสินค้าสัตว์มีชีวิต โดยเฉพาะการส่งออกสุกร ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความไวต่อการขนส่งและต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดในการขนส่งผ่านเส้นทางนี้ไปยังท่าเรือสบหรวย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นท่าเรือขนส่วสินค้าที่สำคัญในเมียนมาร์
นอกจากการเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญในด้านการขนส่งสินค้าแล้ว ท่าเรือสบหรวยยังเป็นจุดเชื่อมต่อ (HUP) ที่สำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าต่อไปยังเมืองลา และยังสามารถขนส่งสินค้าผ่านไปยังประเทศจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่าเรือสบหรวยจึงมีบทบาทสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคนี้.
ท่าเรือสบหรวยถือเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเมียนมา เนื่องจากสินค้าหลายประเภทถูกลำเลียงไปยังเมืองลา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือที่รู้จักในชื่อ เขต 4 (Zone 4) ภายในรัฐฉาน เมืองลาอยู่ทางตอนเหนือของเชียงตุง และติดกับเขตปกครองตนเองชนชาติไต สิบสองปันนาของประเทศจีน เมืองลามีความสำคัญในด้านการค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพนัน ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการพนันที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีน ปัจจุบันเมืองลามีการใช้เงินสกุลหยวนเป็นหลัก (นอกจากเมืองลาเเล้ว เมืองรอบๆยังใช้เงินสกุลหยวนด้วยเช่นเดียวกัน)และมีอิทธิพลของจีนที่สะท้อนในหลายๆ ด้าน เมืองลามีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 50,000 คน ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการบริโภคสินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะสัตว์มีชีวิต เช่น สุกร
การนำเข้าหมูจากประเทศไทยไปยังเมืองลาเป็นกิจกรรมการค้าสำคัญ โดยพ่อค้าคนกลางส่งออกหมูจากไทยไปยังเมืองลา โดยมีราคากิโลกรัมละ 70 บาท ซึ่งตัวแทนจำหน่ายในเมืองลายินดีรับซื้อหมูเหล่านี้โดยไม่มีข้อจำกัด(นอกเหนือจากข้อจำกัดด้านกฏหมาย/เชื้อโรค) นอกจากหมูแล้ว สินค้าประเภทอื่นๆ เช่น เครื่องดื่มชูกำลังและสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ก็เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมและถูกส่งออกจากประเทศไทย ผ่านทางท่าเรือเชียงแสน ผลจากการค้าระหว่างท่าเรือเชียงแสนและเมืองลา ทำให้ตัวเลขการส่งออกสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน
สินค้าที่ส่งออกไปยังเมืองลาโดยส่วนใหญ่ไม่ได้ผลิตในจังหวัดเชียงราย แต่จะมาจากแหล่งผลิตต่างๆ ในประเทศไทย เช่น หมูที่ส่งออกไปยังเมืองลานั้นส่วนใหญ่จะมาจากทางภาคกลาง(เรือที่ผู้เขียนอาศัยมาบรรทุกหมูมาจากจังหวัดอุตรดิตถ์) ในขณะที่สินค้าอื่นๆ เช่น เครื่องดื่มชูกำลังและสินค้าทั่วไปมาจากภาคกลางหรือพื้นที่อุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าผ่านท่าเรือเชียงแสนยังคงส่งผลให้พ่อค้าคนกลางในจังหวัดเชียงรายได้รับประโยชน์จากการค้าผ่านเส้นทางนี้ (แต่ที่น่าสนใจคือจังหวัดเชียงรายจะปรับตัวต่อโอกาสที่วิ่งผ่านหน้าบ้านตนเองทุกวันได้อย่างไร)
การขนส่งสินค้าทางน้ำเปิดโอกาสใหม่ในการส่งออกสินค้าในอนาคต โดยเฉพาะสินค้าที่มีความไวต่อการบอบช้ำจากการขนส่ง เช่น สับปะรดภูแลและสัตว์มีชีวิต ซึ่งการขนส่งทางน้ำสามารถลดความเสี่ยงของความเสียหายและรักษาคุณภาพของสินค้าได้ดีกว่าการขนส่งทางบก นอกจากนี้ การขนส่งทางน้ำยังช่วยให้สามารถเดินทางไปยังเมียนมาร์และจีนได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น เพราะในปัจจุบัน เส้นทางการขนส่งสินค้าทางบก เช่น เส้นทาง R3A และ R3B ยังคงประสบปัญหาหลายประการ เส้นทาง R3B ซึ่งต้องผ่านพื้นที่ที่มีการควบคุมโดยกลุ่มกองกำลังหลายฝ่าย ทำให้เกิดความล่าช้าและเพิ่มความเสี่ยงในด้านความปลอดภัย ขณะที่เส้นทาง R3A ยังขาดการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ผิวถนนในบางส่วนมีสภาพขรุขระและเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ส่งผลให้การเดินทางไม่สะดวกและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง
ด้วยเหตุนี้ การขนส่งทางน้ำจึงถือเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้าไปยังเมียนมาร์และจีนในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงข้อจำกัดและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการขนส่งทางบก การสำรวจเส้นทางสำหรับการส่งออกสัตว์มีชีวิตในแม่น้ำโขงเลียบเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจเหนือใต้ (North-South Economic Corridor: NSEC) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการสำรวจในครั้งนี้จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสในการส่งเสริมการค้าการลงทุน และการพัฒนาเส้นทางการขนส่งที่เหมาะสม โดยเฉพาะในส่วนของการส่งออกสัตว์มีชีวิต ซึ่งต้องการการขนส่งที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง
การศึกษาความเป็นไปได้ในด้านการขนส่งสินค้าผ่านทางแม่น้ำโขง จะช่วยให้เห็นภาพรวมของโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การสร้างความมั่นคงในเส้นทางการเดินเรือ การพัฒนาสาธารณูปโภคที่รองรับการขนส่งสินค้า และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสนับสนุนการขยายตัวของการค้าการลงทุนด้านสัตว์มีชีวิต(สุกร โคเนื้อ เเพะ แกะ) ในอนาคตอย่างยั่งยืน