Skip to content

การวิจัยกับการสร้างยุทธศาสตร์การพัฒนา

นับตั้งเเต่การเปิดทำการเรียนการสอนในหลักสูตรยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค ผู้เขียนในฐานะผู้สอนมีข้อสังเกตุหลักในการเขียนงานวิจัยในระดับวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการสรา้งยุทธศาสตร์จากผลการวิจัยในวัตถุประสงค์เเรกพอสมควร ในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงและเเนวทางในการสร้างยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องและนำไปใช้ในการจัดทำวิทยานิพนธ์ต่อไปของนักศึกษาในอนาคต

ความสำคัญของการวิจัย

การวิจัยมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและปรับปรุงสังคมและวิทยาการต่างๆ มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ และขยายขอบเขตความเข้าใจในหลากหลายสาขา โดยเฉพาะในการค้นหาคำตอบสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ปัญหาด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม หรือเศรษฐกิจ การวิจัยยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการวางแผนและกำหนดนโยบาย นอกจากนี้การวิจัยยังเป็นตัวกระตุ้นนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ การค้นพบในด้านต่างๆ สามารถสร้างประโยชน์ทั้งในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติจริง เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยรวมแล้ว การวิจัยถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาและความก้าวหน้าของสังคมและวิทยาการต่างๆ ในขณะเดียวกัน การวิจัยที่ดีนั้ันจะต้องอยู่ภายใต้เป้าหมายที่สำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร พื้นที่ และองคาพยพต่างๆที่เกี่ยวข้องกับผู้ศึกษา โดยจะต้องอยู่ภายใต้ขั้นตอนการวิจัยเพื่อสรา้งยุทธศาสตร์ดังต่อไปนี้

ขั้นตอนในการวิจัยเพื่อสรา้งยุทธศาสตร์

ขั้นตอนการวิจัยเพื่อสร้างยุทธศาสตร์ประกอบด้วยหลายขั้นตอนที่ช่วยให้การพัฒนายุทธศาสตร์มีความชัดเจนและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

1. การกำหนดปัญหาหรือโอกาสในงานวิจัยเพื่อการสร้างยุทธศาสตร์ เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการพัฒนาแนวทางหรือแผนการที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาโอกาสที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยการกำหนดปัญหาหรือโอกาสจะต้องมีความชัดเจนและมีขอบเขตที่เหมาะสม ซึ่งสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนหลักดังนี้

1.1 การระบุปัญหาหรือโอกาส โดยการวิเคราะห์และหรือการนำเสนอ ปัญหาที่มีอยู่ในองค์กร หรือหน่วยงานกำลังเผชิญ เช่น ปัญหาการบริหารทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ ปัญหาทางการเงิน หรือปัญหาด้านความพึงพอใจของลูกค้า ในขัั้นตอนนี้ ผู้เขียนจะต้องให้ความสำคัญการกับการรีวิวเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนถึงประสบการณ์ที่ตนเองมีเขียนลงในเอกสารของตนเอง ตลอดจนการวิเคราะห์โอกาสในการพัฒนา โดยการมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่สามารถใช้เป็นฐานในการพัฒนา เช่น การใช้เทคโนโลยีใหม่ การขยายตลาดในพื้นที่ใหม่ หรือการเพิ่มพูนศักยภาพของพนักงาน ถัดจากนี้จึงเข้าสู่ขั้นตอนในการตั้งคำถามในการวิจัย ที่ชัดเจนและเกี่ยวข้องกับปัญหาหรือโอกาสที่ได้ระบุ โดยคำถามควรสามารถนำไปสู่การพัฒนายุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น “ปัจจัยใดที่ทำให้การพัฒนาทักษะของพนักงานไม่ประสบผลสำเร็จในองค์กร?” หรือ “แนวทางใดที่จะเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าในตลาดใหม่ที่เกิดขึ้น?” โดยคำถามการวิจัยนั้นสามารถตั้งได้หลายคำถามที่มีความสามารถในการครอบคลุมปัญหาและโอกาสที่มีอยู่ในองค์กร ถัดจากนั้น ผู้วิจัยจึงเข้าสู่ขั้นตอนในการเขียนความเป็นมาและสภาพปัญหาต่อไป

1.2 การเขียนความเป็นมาและสภาพปัญหา ให้นักศึกษานำข้อมูลจากการรีวิวในข้อที่ 1.1 มากำหนดแนวทางในการเขียนความเป็นมาและสภาพปัญหา ที่สำคัญ ผู้เขียนจะต้องเขียนโดยมีข้อมูลสารสนเทศมาสนับสนุน เช่น ข้อมูลผลการวิจัย สารสนเทศการส่งออก นำเข้า ปัญหาจากการนำโครงการไปใช้ ฯลฯ โดยความเป็นมาและสภาพปัญหาควรไม่มากนัก 2-3 หน้า เป็นอย่างมาก

1.3 การกำหนดวัตถุประสงค์ การตั้งวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ได้ผลจากการวิจัย เช่น การปรับปรุงกระบวนการภายใน การพัฒนานโยบายหรือกลยุทธ์ใหม่ หรือการหาแนวทางในการใช้โอกาสทางธุรกิจ การตั้งวัตถุประสงค์ในงานยุทธศาสตร์ ต้องเกิดจากการศึกษาศักยภาพ บริบท ก่อนเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับการรีวิวิในความเป็นมาและสภาพปัญหา ต่อจากนั้นอาจจะเป็นการวางวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา การสรา้งยุทธศาสตร์ในการพัฒนา……ที่สอดคล้องกับคำถามในการวิจัย งานวิจัยทางยุทธศาสตร์ที่ดีอาจจะมีวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 คือ การประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ หรือถึงขั้นในการนำยุทธศาสตร์ไปใช้ จะทำให้วิทยานิพนธ์ดังกล่าวมีความน่าสนใจ

1.4 การสรา้งกรอบเเนวคิด แบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆดังนี้

1.4.1 การเลือกหัวข้อและกำหนดตัวแปร (Variables) โดยการพิจารณาจากหัวข้อการวิจัยนำไปสู่การกำหนดหัวข้อการวิจัยที่ต้องการศึกษาหรือปัญหาที่ต้องการแก้ไข เช่น การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การกำหนดตัวแปรหลักก็จะต้องให้ความสำคัญกับ ตัวแปรเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ที่ศึกษา เช่น การศึกษามาตรฐานคุณภาพการศึกษา ตัวแปรอาจประกอบด้วยการใช้เทคโนโลยีในห้องเรียน, รูปแบบการสอน, ความพึงพอใจของนักเรียน เป็นต้น

1.4.2 การทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง (Literature Review) ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: การทบทวนงานวิจัยและทฤษฎีที่มีอยู่ในสาขาที่ศึกษา ช่วยให้ทราบถึงมุมมองที่ต่างออกไปจากงานวิจัยที่ผ่านมา และแสดงถึงช่องว่างที่ยังไม่ได้รับการศึกษา และต้องให้ความสำคัญกับ การเชื่อมโยงทฤษฎี: ใช้ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในการอธิบายเหตุผลและการเชื่อมโยงระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่มีผลต่อกัน ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) ที่อาจจะใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน ประเด็นนี้ มีความสำคัญกับข้อที่ 1.4.1 เพราะนำไปสู่การกำหนดตัวแปรเพิ่มเติมซึ่งเป็นตัวแปรหลัก

1.4.3 การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (Variable Relationships) เป็น ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ: กรอบแนวคิดมักจะระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เช่น ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ที่มีผลกระทบต่อตัวแปรตาม (Dependent Variable) หรือมีการอธิบายว่าปัจจัยไหนเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการศึกษา ตลอดจนการแสดงความสัมพันธ์: สามารถใช้แผนภาพหรือแผนภูมิในการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ซึ่งจะช่วยให้ผู้วิจัยและผู้อ่านเห็นภาพรวมของการวิจัยได้ชัดเจนขึ้น ในขั้นตอนนี้เริ่มมีแนวทางในการเขียนความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามที่สมบูรณ์ เช่น มาตรฐานคุณภาพการศึกษา จะต้องอาศัย ประสิทธิภาพของ ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) ในการแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีปัญหาเป็นต้น

1.4.4 การสร้างแผนภาพกรอบแนวคิด (Conceptual Framework Diagram) การสร้างแผนภาพจะช่วยให้เห็นภาพรวมและความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ โดยสามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม รวมถึงตัวแปรควบคุม (Control Variables) และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยแผนภาพนี้ช่วยในการสื่อสารไอเดียของการวิจัยให้ชัดเจนแก่ผู้อ่านและเป็นการสร้างทิศทางการศึกษาให้กับงานวิจัย

1.4.5 การทดสอบและปรับปรุงกรอบแนวคิด (Testing and Refining the Framework) หลังจากได้กรอบแนวคิดเบื้องต้นแล้ว ควรทดสอบและปรับปรุงกรอบแนวคิดจากอาจารย์ที่ปรึกษา ร่วมกันกลั่นกรองแนวทางในความเป็นไปได้ต่อไป

1.5 การออกแบบการวิจัย เครื่องมือการวิจัย และแบบแผนทางยุทธศาสตร์ ในขั้นตอนนี้นักศึกษาจะต้องพิจารณาถึงเครื่องมือในการวิจัย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1.5.1 หากในวัตถุประสงค์เเรก เป็นเรื่องของการศึกษาศักยภาพ บริบท ฯลฯ การศึกษามักใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องทั้งในการวิจัยเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ เช่น เชิงคุณภาพ อาจเป็นการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ และประชุมกลุ่ม เป็นต้น โดย ประชากรกลุ่มเป้าหมายนักศึกษาต้องวิเคราะห์ให้ดี โดยอาจจะมาจากการรีวิวงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และระเบียบวิธีที่ถูกต้อง การทำวิจัยในขั้นตอนนี้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของที่ปรึกษา ในส่วนงานวิจัยเชิงปริมาณก็เช่นเดียวกัน แต่อาจจะมีเครื่องมือและวิธีการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับติดตามการเขียนของที่ปรึกษาเช่นเดียวกัน การสรา้งเครื่องมือก็ให้อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของที่ปรึกษาเพื่อความถูกต้องของเครื่องมือ โดยการสรา้งเครื่องมือที่ถูกต้องนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์กับผลการสรา้งกรอบแนวคิดและการรีวิวเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.

1.5.2 ในวัตถุประสงค์ข้อที่สอง หากเป็นเรื่องของการสร้างและหรือการพัฒนายุทธศาสตร์/กลยุทธ์(ยุทธศาสตร์ให้เป็นเรื่องเชิงพื้นที่ กลยุทธ์ให้เป็นเรื่องขององค์กรจะได้ไม่สับสน) สิ่งที่สำคัญในขั้นตอนนี้มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1) ให้ระบุว่า ……นำผลที่ได้จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ ถัดจากนั้นจึงเรียบเรียงประเด็นที่ได้มาโดยอาจจะเป็นความเรียง(หากเป็นผลการวิจัยเชิงคุณภาพ) หรือ เป็นโครงสรา้งของตาราง(หากเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ) ถัดจากนั้น จึงมีการสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลตามแต่ละประเด็น ถัดจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการในการออกแบบยุทธศาสตร์

2) การเขียนระเบียบวิธีทางยุทธศาสตร์จะต้องเริ่มตั้งเเต่ขั้นตอนต่อไปนี้

2.1) ศึกษาเอกสาร เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำกลยุทธ์ โดยเนื้อหาสำหรับการจัดทำกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์นักศึกษาสามารถพิจารณาได้จากเอกสารประกอบการสอน คำสอน รวมทั้งตำราของ ผศ.ดร. วิกรม บุญนุ่น /ณรงค์วิทย์  แสนทอง(2547); Hitt et al (2007, 85-87); Hunter and Wheelen (2006, 111-114); Katsioloudes (2006, 109-189)

2.2) ร่างแบบฟอร์มการจัดทำกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์กร  การกำหนดทางเลือกเชิงกลยุทธ์  หรือการคัดเลือกกลยุทธ์หลักขององค์กร และนำไปหาค่าความเชื่อมั่นหรือความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา

2.3) นำเครื่องมือที่ได้ไปเก็บข้อมูลกับประชากรกลุ่มเป้าหมาย โดยกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ โดยการนำผลการวิจัยที่ได้จากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 มาใช้

2.4) กำหนดวิสัยทัศน์  พันธกิจ  และเป้าหมายโดยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกและภายในขององค์กร(SWOT) โดยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในจะวิเคราะห์ภายใต้ แนวคิดแบบ 7s model of McKinsey(Ravanfar, M. M.,2015) สำหรับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกจะดำเนินการวิเคราะห์จาก PESTEL หรือตามบริบทขององค์กรหรือในพื้นที่ แต่ต้องเกิดจากการรีวิวเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับกรอบแนวคิด และหากจะให้งานวิจัยมีความน่าสนใจ แนวคิดที่นำไปสู่การวิเคราะห์ SWOT ควรมีความหลากหลายมากกว่า 1 แนวคิด เมื่อผ่านกระบวนการวิเคราะห์ SWOT เป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือการกำหนดค่าน้ำหนักของการวิเคราะห์ โดยการกำหนดค่าน้ำหนัก สามารถพิจารณาได้จาก ตำราของ ผศ.ดร. วิกรม บุญนุ่น /ณรงค์วิทย์  แสนทอง(2547); Hitt et al (2007, 85-87); Hunter and Wheelen (2006, 111-114); Katsioloudes (2006, 109-189) เมื่อได้ค่าน้ำหนักเป็นที่เรียบร้อยจึงนำไปสู่การกำหนดตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์โดยใช้ทฤษฎี BCG Matrix หรือ Boston Consulting Group Matrix ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจที่คิดค้นโดย Boston Consulting Group ทั้งนี้ผลจากการวางตำแหน่งใน BCG Matrix จะสามารถนำเสนอได้เป็นประเด็นยุทธศาสตร์ โดยประเด็นยุทธศาสตร์นี้สามารถเขียนเป็นความเรียงได้ 2-3 บรรทัดขึ้นอยู่กับว่า BCG Matrix ชี้ไปยังจุดใด เมื่อเขียนประเด็นยุทธศาสตร์แล้วขั้นตอนต่อไปคือการกำหนดกลยุทธ์

2.5) การกำหนดกลยุทธ์ในงานวิจัย/วิทยานิพนธ์ เราใช้ TOWS Matrix ซึ่งมีที่มาจาก Heinz Weihrich พัฒนาขึั้นในปี 1982 TOWS Matrix ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นขั้นตอนถัดไปหลังจากทำการวิเคราะห์ SWOT และ BCG Matrix โดยช่วยให้องค์กรสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ SWOT มาสร้างกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรม 

2.6) เขียนเเผนยุทธศาสตร์ โดยสามารถรีวิวแพลทฟอร์มได้ในตัวอย่างของ ผศ.ดร. วิกรม บุญนุ่น /ณรงค์วิทย์  แสนทอง(2547); Hitt et al (2007, 85-87); Hunter and Wheelen (2006, 111-114); Katsioloudes (2006, 109-189)

2.7) ขั้นตอนอื่นๆ ให้เขียนตามคู่มือของวิทยานิพนธ์ที่ระบุไว้ของมหาวิทยาลัย

1.6 ผลการวิจัย ให้ระบุและเขียนผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ในเเต่ละข้อ โดยการเขียนผลการวิจัยให้อยู่ภายใต้การกำกับและดูแลของที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิด