Skip to content

แนวคิดและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์เพื่อยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสังคม

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 19.00 น. ผู้เขียนได้รับเกียรติจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ให้เข้าร่วมในฐานะผู้บรรยายพิเศษ ภายใต้หัวข้อหลัก “สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาสังคมเชิงภูมิภาคและเชิงพื้นที่” สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะนักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชา “สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาสังคม” สำหรับการบรรยายครั้งนี้ ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้นำเสนอในหัวข้อย่อย “แนวคิดและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์เพื่อยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสังคม” ซึ่งนับเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น อันจะเชื่อมโยงความรู้ด้านภูมิศาสตร์เข้ากับศาสตร์อื่น ๆ เพื่อสร้างฐานข้อมูลและเครื่องมือในการตัดสินใจเชิงนโยบายและการวางแผน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้สาระสำคัญของการบรรยายถูกจำกัดอยู่เพียงในห้องเรียนหรือเฉพาะกลุ่มผู้เข้าร่วม ผู้เขียนเห็นสมควรที่จะถ่ายทอดรายละเอียดของบทบรรยายดังกล่าวล่วงหน้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในสาขายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค ได้ร่วมเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และใช้เป็นพื้นฐานในการแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการร่วมกันต่อไป โดย เนื้อหาของการบรรยายจะมุ่งเน้นไปที่ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

1.แนวคิดและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์เพื่อยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสังคม

2. เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ (Tools) และวิธีวิทยาเพื่อการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาในพื้นที่

3. การเชื่อมโยงสหวิทยาการ เพื่อสร้างพลังร่วมทางความรู้ อันเป็นรากฐานของการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน

การบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แนวคิดและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์เพื่อยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสังคม” จัดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ภายใต้กรอบวิชาการของสาขาวิชา สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาสังคม ในระดับปริญญาเอก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายและวิเคราะห์บทบาทของภูมิศาสตร์เชิงสังคมและเชิงพื้นที่ ในฐานะที่เป็นศาสตร์และเครื่องมือสำคัญต่อการวางยุทธศาสตร์การพัฒนา เนื้อหาของการบรรยายประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ (1) การทำความเข้าใจ แนวคิดทางภูมิศาสตร์ ในมิติที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคม เช่น Space, Place, Scale และ Spatial Interaction ซึ่งมีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางเชิงนโยบาย (2) การนำเสนอ เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ (Geographical Tools) เช่น ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), การทำแผนที่เชิงพื้นที่ (Cartographic Analysis), การสำรวจภาคสนาม และการวิเคราะห์เชิงภูมิสารสนเทศ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และกำหนดยุทธศาสตร์ตั้งแต่ระดับโลก ภูมิภาค ประเทศ เมือง จนถึงท้องถิ่น และ (3) การบูรณาการความรู้จาก สหวิทยาการ เพื่อสร้างยุทธศาสตร์ที่มีมิติทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างยั่งยืน

ผลลัพธ์ของการบรรยายชี้ให้เห็นว่า แนวคิดและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์มิได้เป็นเพียงเครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็น “ภาษากลางของการพัฒนาเชิงพื้นที่” ที่ช่วยให้ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ นักวิจัย และผู้ปฏิบัติการในพื้นที่ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับสภาพจริง ตลอดจนกำหนดทิศทางการพัฒนาที่ตอบสนองต่อพลวัตของสังคมในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

1.แนวคิดและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์เพื่อยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสังคม

ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมเชิงพื้นที่ (place-based social development strategy) ตั้งอยู่บนแนวคิด “พื้นที่ไม่เป็นเพียงฉากหลังของสังคม แต่ประกอบสร้างความเหลื่อมล้ำ โอกาส และศักยภาพ” (Lefebvre, 1991; Massey, 2005; Harvey, 1973; Soja, 2010) การออกแบบยุทธศาสตร์จึงต้องอ่าน “โครงสร้างเชิงอำนาจ–เศรษฐกิจ–นิเวศ–วัฒนธรรม” ผ่านเครื่องมือภูมิศาสตร์สมัยใหม่ ได้แก่ GIS/RS, สถิติเชิงพื้นที่, เครือข่ายคมนาคม, แบบจำลองการใช้ที่ดิน–ความเสี่ยงพิบัติ, accessibility, และการมีส่วนร่วมแบบ PPGIS เพื่อสร้างนโยบายที่ “ยุติธรรมเชิงพื้นที่” (spatial justice), “แข่งขันได้บนฐานเอกลักษณ์” (smart specialization) และ “ยืดหยุ่นต่อความผันผวน” (resilience) ควบคู่การติดตามประเมินผลแบบพิเศษ (Anselin, 1988; Foray, 2014; IPCC, 2022; UN, 2015) เพราะฉะนั้น “แนวคิดและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์เพื่อยุทธศาสตร์ในการพัฒนาสังคม” โดยตั้งอยู่บนฐานความเข้าใจว่า พื้นที่ (space) และ สถานที่ (place) มิใช่เพียงกรอบทางกายภาพ แต่เป็น “ตัวแปรเชิงสังคม–เศรษฐกิจ–การเมือง” ที่ก่อรูปความเหลื่อมล้ำ โอกาส และศักยภาพของมนุษย์และชุมชน (Harvey, 1973; Lefebvre, 1991; Soja, 2010) การจัดทำนโยบายหรือยุทธศาสตร์สังคมเชิงภูมิศาสตร์จึงต้องคำนึงถึง ความเป็นธรรมเชิงพื้นที่ (spatial justice), การพัฒนาแบบยึดพื้นที่ (place-based development) และ ความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง (resilience)

          เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ร่วมสมัย เช่น ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS), การรับรู้จากระยะไกล (RS), การวิเคราะห์สถิติเชิงพื้นที่ (spatial statistics & econometrics), แบบจำลองการใช้ที่ดินและสิ่งแวดล้อม (land use/cover change modeling), ตลอดจน การวิเคราะห์เครือข่าย (network analysis) และ การวิเคราะห์การเข้าถึงบริการ (accessibility analysis) ทำให้สามารถวินิจฉัยและคาดการณ์ปัญหาสังคมเชิงพื้นที่ได้อย่างมีหลักฐานรองรับ ทั้งในประเด็นการเข้าถึงบริการสาธารณะ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความเปราะบางต่อภัยพิบัติ และศักยภาพการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น

          นอกจากนี้ เครื่องมือเชิงการมีส่วนร่วม เช่น Public Participation GIS (PPGIS), Volunteered Geographic Information (VGI) และ Delphi Method ช่วยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีบทบาทในการออกแบบยุทธศาสตร์ ตอกย้ำความสำคัญของธรรมาภิบาล (governance) และความเป็นเจ้าของร่วมของสังคมในกระบวนการพัฒนา

          ดังนั้น “ยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมเชิงภูมิศาสตร์” ที่มีความสำคัญต่อการวิจัยรวมถึงวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในระดับปริญญาเอก จึงต้องผสมผสานทั้ง กรอบทฤษฎีด้านภูมิศาสตร์มนุษย์–สังคม, เครื่องมือเชิงเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ, และ กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างนโยบายที่มีคุณสมบัติสามประการ ได้แก่ ยุติธรรมเชิงพื้นที่ (equity), แข่งขันได้เชิงภูมิภาค (competitiveness) และ ยืดหยุ่นต่อความเสี่ยง (resilience) ซึ่งจะเป็นรากฐานของการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน สอดคล้องกับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และกรอบความร่วมมือระดับนานาชาติ เช่น Sendai Framework for Disaster Risk Reduction และ Paris Agreement on Climate Change

          กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่จำเป็น

1.ทฤษฎี Production of Space ของ Henri Lefebvre ชี้ว่าพื้นที่มิได้เป็นกลาง แต่ถูก “ผลิต” ขึ้นจากอำนาจ เศรษฐกิจ และสังคมผ่านชีวิตประจำวัน การวางแผน และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ส่วน Spatial Justice ของ Edward Soja(2010)เน้นว่าความยุติธรรมต้องพิจารณาผ่านมิติพื้นที่ เพราะความเหลื่อมล้ำมักซ่อนอยู่ในการจัดการพื้นที่ ทั้งสองแนวคิดจึงเชื่อมโยงกันในฐานะเครื่องมือวิเคราะห์การสร้างและการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในพื้นที่

2.แนวคิด Place-Based / Territorial Development คือกระบวนการพัฒนาที่เน้นการใช้ศักยภาพเฉพาะพื้นที่ (endogenous development) โดยยึดบริบททางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น แทนการใช้ “นโยบายแบบเดียวกันทั่วประเทศ” (Barca, 2009) แนวคิดนี้เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและการบูรณาการนโยบายหลายมิติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค จึงถือเป็นแนวทางสำคัญของยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืนในสหภาพยุโรปและองค์การระหว่างประเทศ (OECD, 2019)

3. ความสามารถเชิงสมรรถนะของคนและชุมชน (Human and Community Competence) หมายถึงศักยภาพทั้งด้านความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่บุคคลและกลุ่มคนสามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตร่วมกัน (Boyatzis, 2008) แนวคิดนี้ครอบคลุมการพึ่งตนเอง การสร้างทุนทางสังคม (social capital) และการจัดการทรัพยากรในชุมชนอย่างมีส่วนร่วม (Putnam, 2000) โดยถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

4.เศรษฐกิจเชิงภูมิศาสตร์รุ่นใหม่ (New Economic Geography: NEG) คือแนวคิดที่อธิบายการกระจุกตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในบางภูมิภาค โดยเน้นบทบาทของต้นทุนการขนส่ง ผลประโยชน์จากการ agglomeration และตลาดแรงงาน (Krugman, 1991) แนวคิดนี้ชี้ว่าความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่เกิดจากแรงดึงดูดทางเศรษฐกิจที่ทำให้บางเมืองหรือภูมิภาคเติบโตเร็วกว่าที่อื่น และกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต การค้า และนวัตกรรม (Fujita & Thisse, 2002)

5.ระบบซับซ้อน (Complex Systems) มองเมืองและสังคมเป็นพลวัตที่ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายมิติที่เชื่อมโยงกันอย่างไม่เป็นเส้นตรง ส่งผลให้เกิดรูปแบบใหม่ที่คาดเดายาก (Batty, 2005) ขณะที่ เมืองเครือข่าย (Network Cities) อธิบายการเชื่อมโยงเมืองผ่านโครงสร้างพื้นฐาน การค้า และข้อมูลข่าวสารในระดับภูมิภาคและโลก (Castells, 1996) ส่วน เวลา–ภูมิศาสตร์ (Time-Geography) ของ Hägerstrand มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมมนุษย์ เวลา และข้อจำกัดเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์การใช้ชีวิตและการเคลื่อนที่ในเมือง (Hägerstrand, 1970)

6.การกำกับดูแล (Governance) คือกระบวนการตัดสินใจและการจัดการที่เปิดกว้าง โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน (Kooiman, 2003) ขณะที่ การมีส่วนร่วม (Participation) หมายถึงการที่ประชาชนและชุมชนเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายและการพัฒนาอย่างแท้จริง เพื่อสร้างความชอบธรรมและความยั่งยืน และ ทรัพยากรส่วนรวม (Commons) คือทรัพยากรที่ชุมชนใช้ร่วมกัน เช่น ป่า น้ำ หรือความรู้ดิจิทัล ซึ่งต้องการกลไกกำกับดูแลที่สมดุลเพื่อป้องกันการใช้เกินขอบเขต (Ostrom, 1990)

7. วาระโลกอย่าง SDGs ของสหประชาชาติ (2015) มุ่งสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ขณะที่ Sendai Framework (2015–2030) เน้นการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และ Climate Agenda ภายใต้ Paris Agreement (2015) มุ่งจำกัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN, 2015; UNDRR, 2015) ทั้งสามวาระนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมเชิงภูมิศาสตร์ เพราะต้องพิจารณามิติพื้นที่ ความเสี่ยงเชิงภูมิภาค และความยืดหยุ่นของชุมชนในเชิงพื้นที่ ตลอดจนแนวคิดและทฤษฎี เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

2.เครื่องมือทางภูมิศาสตร์และวิธีวิทยาเพื่อยุทธศาสตร์การพัฒนาตามระดับพื้นที่

2.1 ระดับโลก (Global Scale) ในระดับโลก พื้นที่ถูกมองในฐานะ “ระบบโลก (global system)” ที่เชื่อมโยงกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเมือง และสังคม การกำหนดยุทธศาสตร์ที่ระดับนี้จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่สามารถสะท้อนการเปลี่ยนแปลงข้ามพรมแดนและผลกระทบเชิงโครงสร้าง อาทิ

2.1.1 การสำรวจระยะไกล (Remote Sensing: RS) และ ข้อมูล Big Earth Data ที่รวบรวมจากดาวเทียมและเซนเซอร์โลก เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ น้ำแข็งขั้วโลก ป่าไม้ และทะเลทราย

2.1.2 แบบจำลองภูมิอากาศโลก (General Circulation Models: GCMs) ที่ใช้ทำนายแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในศตวรรษหน้า มีผลต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ เช่น Paris Agreement

2.1.3 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจระดับโลก (Global SDSS) ซึ่งผสานข้อมูลด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคง เพื่อประเมินผลกระทบเชิงระบบและกำหนดกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน (เช่น SDGs)

ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ระดับโลกจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้าง กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ, การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค และการรับมือกับ ความท้าทายร่วม (global commons) เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากรโลก แม้เครื่องมือระดับโลกจะทรงพลัง แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการที่ต้องวิพากษ์ เช่น 1) ความละเอียดเชิงพื้นที่–เวลา (spatial–temporal resolution): ข้อมูลระดับโลกมักมีความละเอียดต่ำ (เช่น 30 เมตร หรือรายเดือน/รายปี) จึงไม่สะท้อนปัญหาเชิงท้องถิ่นอย่างแม่นยำ 2) แบบจำลองเชิงซับซ้อน (model complexity): GCMs และ Earth System Models (ESMs) มีสมมติฐานจำนวนมาก และความไม่แน่นอนสูงเมื่อใช้ทำนายในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อ scale down สู่ระดับภูมิภาคหรือท้องถิ่น 3) การบูรณาการข้อมูลหลายแหล่ง: ข้อมูลจากประเทศต่าง ๆ มีมาตรฐานแตกต่างกัน เกิดปัญหาการ harmonize ข้อมูล และบางครั้งยังมีการปิดกั้นเชิงอธิปไตยของรัฐ

อีกทั้งเครื่องมือระดับโลก(สากล) ไม่ได้เป็นเพียง “เทคโนโลยีเป็นกลาง” แต่สะท้อน อำนาจเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น 1) ความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยี: ประเทศพัฒนาแล้วเป็นเจ้าของดาวเทียม ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และองค์ความรู้ในการตีความแบบจำลอง ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องพึ่งพิงข้อมูลจากภายนอก หรือ 2) อำนาจกำหนดวาระ (agenda setting): ดัชนีโลก เช่น Human Development Index (HDI), Ecological Footprint, Global Risk Index ถูกสร้างโดยสถาบันตะวันตก และกลายเป็นตัวกำหนด “มาตรฐานการพัฒนา” โดยที่บางครั้งไม่สะท้อนบริบทท้องถิ่น 3) การเมืองของข้อมูล (data politics): การครอบครองดาวเทียมและฐานข้อมูลโลกเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจ ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อความมั่นคงมากกว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน

2.2 ระดับภูมิภาค (Regional Scale) ระดับภูมิภาคหมายถึงพื้นที่ที่ครอบคลุมหลายประเทศหรือหลายเขตเศรษฐกิจ เช่น สหภาพยุโรป (EU) หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ซึ่งความท้าทายอยู่ที่การสร้าง สมดุลระหว่างการแข่งขันและการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เช่น

2.2.1 การวิเคราะห์โครงข่ายภูมิภาค (Regional Network Analysis) ผ่านเครื่องมือ GIS เพื่อตรวจสอบเส้นทางการค้าข้ามพรมแดน, logistics corridors, และการกระจายแรงงาน

2.2.2 แบบจำลองแรงโน้มถ่วงทางการค้า (Trade Gravity Models) ที่วิเคราะห์ศักยภาพการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

2.2.3 Spatial Econometrics เพื่อประเมิน spillover effects ของการลงทุน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในลุ่มแม่น้ำโขงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและอาเซียนโดยรวม

2.2.4 Scenario Planning และ Cross-border SDSS สำหรับสร้างฉากทัศน์การพัฒนาภูมิภาค เช่น “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2030” หรือ “การเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจจีน–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

โดย ยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคมุ่งไปที่ การบูรณาการเชิงพื้นที่ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจร่วม ลดช่องว่างการพัฒนา และสร้างความมั่นคงในภูมิภาค แต่ถึงแม้เครื่องมือเหล่านี้จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรถูกวิพากษ์ ได้แก่ 1) ความไม่สมมาตรของข้อมูล (asymmetry of data): ประเทศสมาชิกในภูมิภาคมักมีมาตรฐานการเก็บข้อมูลที่ต่างกัน ทำให้ฐานข้อมูลภูมิภาคมีช่องว่าง (data gaps) และคุณภาพไม่เท่ากัน 2) ความแตกต่างของ scale และ boundary: เครื่องมือภูมิภาคบางครั้งสร้าง “ขอบเขตเทียม (artificial boundaries)” ที่ไม่สะท้อนความสัมพันธ์ข้ามพรมแดนจริง เช่น เครือข่ายแรงงานนอกระบบ 3) ความไม่แน่นอนของแบบจำลองเศรษฐกิจ: แบบจำลองแรงโน้มถ่วงหรือ spatial econometrics อาจไม่สามารถอธิบายปัจจัยเชิงสังคม–การเมือง เช่น ความขัดแย้งชายแดน หรือข้อจำกัดทางการเมืองภายในประเทศ ส่งผลต่อประเด็นเชิงการเมืองและอำนาจเช่น การกีดกันเชิงพื้นที่ (spatial exclusion): โครงการพัฒนาเชิงภูมิภาค เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ อาจส่งผลให้ชุมชนชายแดนสูญเสียที่ดินหรือทรัพยากร โดยไม่ได้รับประโยชน์เท่าเทียม หรือ ประเทศแกนกลาง vs ประเทศชายขอบ: เครื่องมือการวิเคราะห์ภูมิภาคมักเน้น “แกนกลางทางเศรษฐกิจ” เช่น สิงคโปร์–กรุงเทพฯ–กัวลาลัมเปอร์ แต่ละเลยชายขอบ เช่น พื้นที่ชายแดนพม่า–ลาว ที่เผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะฉะนั้น ต้องสร้างมาตรฐานข้อมูลภูมิภาคร่วม ลดการพึ่งพิงประเทศมหาอำนาจ ต้อง เชื่อมโยง multi-scale: การวิเคราะห์ภูมิภาคควรเชื่อมโยงทั้งโลก–ประเทศ–ท้องถิ่น ไม่เช่นนั้นจะเกิด “ยุทธศาสตร์บนกระดาษ” ที่ไม่ตอบโจทย์ความจริงของชุมชน

2.3 ระดับประเทศ (National Scale) ระดับประเทศเป็นระดับที่รัฐกำหนด “ยุทธศาสตร์ชาติ” ผ่านการจัดสรรทรัพยากรและการวางโครงสร้างเชิงพื้นที่ การพัฒนาในระดับนี้ต้องใช้เครื่องมือที่เชื่อมโยง ข้อมูลเชิงพื้นที่กับนโยบายมหภาค เช่น

2.3.1 National Spatial Data Infrastructure (NSDI) และ National GIS ที่บูรณาการข้อมูลประชากร เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและข้อจำกัดเชิงพื้นที่ของประเทศ

2.3.2 การวิเคราะห์การใช้ที่ดินและการเปลี่ยนแปลง (Land Use/Cover Change Modeling) เช่น CA-Markov, SLEUTH เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของเมืองและอุตสาหกรรม

2.3.3 การวิเคราะห์การเข้าถึง (Accessibility Analysis) และ แบบจำลอง Location-allocation เพื่อกระจายการให้บริการสาธารณะอย่างทั่วถึง เช่น การวิ่งของรถพยาบาลฉุกเฉินในชุมชน

2.3.4 Spatial Econometrics ในการประเมินผลลัพธ์ของนโยบายระดับชาติ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ, เขตอุตสาหกรรม, หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

การวางยุทธศาสตร์ระดับประเทศจึงเป็นการสร้าง สมดุลระหว่างความสามารถในการแข่งขันและความเป็นธรรมเชิงพื้นที่ผ่านการใช้เครื่องมือที่มีศักยภาพสูง เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาพรวม อย่างไรก็ตาม แม้จะมีศักยภาพสูง แต่เครื่องมือระดับประเทศยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ความไม่ครบถ้วนของข้อมูล (data incompleteness): NSDI ของหลายประเทศยังไม่สมบูรณ์ มีช่องว่างของข้อมูลบางภูมิภาค โดยเฉพาะพื้นที่ชายขอบและพื้นที่ห่างไกล(มิหนำซ้ำในประเทศไทยมีหน่วยงานหลายหน่วยงานจัดการข้อมูลซ้ำซ้อนและไม่สื่อสารกัน) ความไม่แน่นอนของการคาดการณ์: แบบจำลอง land use change แม้จะแม่นยำในระยะสั้น แต่มีข้อจำกัดในระยะยาว เพราะระบบเศรษฐกิจ–การเมืองของประเทศมีความผันผวนสูง นอกจากนั้น สิ่งที่สำคัญคือ เครื่องมือระดับประเทศยังไม่เป็นกลาง หากแต่มักสะท้อนโครงสร้างอำนาจของรัฐ เช่น การเมืองของข้อมูล (data politics): ข้อมูลภูมิศาสตร์ส่วนใหญ่ถูกผูกขาดโดยหน่วยงานรัฐหรือกองทัพ และมักถูกจำกัดการเข้าถึง ส่งผลให้ภาคประชาชนและนักวิชาการมีอำนาจน้อยในการใช้ข้อมูล การใช้นโยบายเป็นเครื่องมือรัฐรวมศูนย์: เครื่องมือ GIS และแบบจำลองถูกใช้เพื่อผลักดัน “เมกะโปรเจ็กต์” ของรัฐ มากกว่าจะรับฟังเสียงชุมชนท้องถิ่น เช่น นิคมอุตสาหกรรม เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ การมองข้ามความเหลื่อมล้ำ: นโยบายที่กำหนดจากข้อมูลระดับประเทศมักมุ่งเน้นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ (เมืองหลวง, เมืองท่า, เขตอุตสาหกรรม) ในขณะที่พื้นที่ชายขอบและกลุ่มชาติพันธุ์ถูกละเลย

ดังนั้น การสร้าง Data Democracy: ต้องเปิดโอกาสให้ภาคประชาชน นักวิชาการ และท้องถิ่นเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก NSDI ได้มากขึ้น เพื่อลดการผูกขาดข้อมูลโดยรัฐ ตลอดจน บูรณาการ multi-scale: เครื่องมือระดับประเทศควรเชื่อมโยงกับข้อมูลระดับโลก (global models) และระดับท้องถิ่น (community mapping) เพื่อให้ยุทธศาสตร์ชาติมีทั้งภาพรวมและรายละเอียด มีการเพิ่มมิติคุณภาพชีวิต: ควรพัฒนาตัวชี้วัดเชิงพื้นที่ที่สะท้อน “ความเป็นอยู่ที่ดี” (well-being) และ “ความเป็นธรรมเชิงพื้นที่” มากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว และส่งเสริมการมีส่วนร่วม: ใช้ PPGIS หรือ crowdsourcing เพื่อให้เสียงประชาชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบยุทธศาสตร์ชาติ

2.4 ระดับเมือง (Urban Scale) เมืองคือระดับที่เห็นผลของนโยบายชัดเจนที่สุด ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน เครื่องมือที่ใช้ในระดับนี้เน้นความละเอียดและการจัดการเชิงพื้นที่ที่ซับซ้อน เช่น

2.4.1 Urban GIS และ Smart City Technologies เช่น Digital Twin ที่ใช้จำลองพลวัตของเมือง ทั้งการจราจร พลังงาน น้ำ และมลภาวะ

2.4.2 Network Analysis และ Transport Models ที่ใช้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองแบบ Transit-Oriented Development (TOD) หรือการพัฒนา “เมือง 15 นาที”

2.4.3 Remote Sensing ในการวิเคราะห์ Urban Heat Island และคุณภาพสิ่งแวดล้อมเมือง

2.4.4 MCDA (Multi-Criteria Decision Analysis) ผนวกกับ GIS เพื่อการตัดสินใจเลือกพื้นที่ลงทุน เช่น การสร้างสวนสาธารณะใหม่ ศูนย์สุขภาพ หรือโครงการที่อยู่อาศัย

ยุทธศาสตร์เมืองมุ่งไปที่ การสร้างเมืองที่ยั่งยืน (sustainable city), ยืดหยุ่นต่อความเสี่ยง (resilient city) และเป็น เมืองอัจฉริยะ (smart city) ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง จากแนวคิด แม้จะมีความก้าวหน้า แต่เครื่องมือระดับเมืองก็มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น 1)ข้อมูลไม่ครอบคลุมหรือไม่ต่อเนื่อง: ในหลายเมือง ข้อมูล GIS ไม่อัปเดตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยุทธศาสตร์ขาดความแม่นยำ 2) การใช้แบบจำลองที่เกินจริง: Digital Twin และแบบจำลองการคมนาคมบางครั้งสร้าง “เมืองสมบูรณ์แบบในเชิงคณิตศาสตร์” แต่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมจริงของประชาชน 3) ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและบุคลากร: การใช้ Urban GIS ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งไม่ใช่ทุกเมือง โดยเฉพาะเมืองในประเทศกำลังพัฒนา จะสามารถเข้าถึงได้ และ 4) การมองปัญหาเฉพาะด้าน (silo): เครื่องมือบางชนิดเน้นเฉพาะมิติ เช่น การจราจรหรือสิ่งแวดล้อม แต่ไม่บูรณาการกับเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

นอกจากนั้น เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ระดับเมืองไม่ใช่เพียง “เทคโนโลยีเป็นกลาง” แต่สะท้อนพลวัตเชิงอำนาจของเมืองด้วยเช่นเดียวกันคือ 1) การมองเมืองผ่านสายตานักวางแผน: เครื่องมืออย่าง Digital Twin(เเบบจำลองเสมือนจริง) หรือ Smart City มักถูกใช้โดยนักวางผังและนักธุรกิจ มากกว่าที่จะสะท้อนเสียงของชุมชนในสลัมหรือแรงงานนอกระบบ 2) การทำให้พื้นที่ชายขอบมองไม่เห็น (spatial invisibility): พื้นที่ชุมชนแออัดหรือแรงงานข้ามชาติ มักไม่มี representation ในฐานข้อมูล GIS ของเมือง ทำให้พวกเขาไม่ถูกนับในการกำหนดยุทธศาสตร์ 3) เมืองในฐานะสนามการลงทุน: เครื่องมือเหล่านี้บางครั้งถูกใช้เพื่อทำให้เมือง “น่าลงทุน” มากกว่าทำให้เมือง “น่าอยู่” ตัวอย่างเช่น การผลักดัน Smart City โดยภาคธุรกิจที่มุ่งกำไร มากกว่าประชาชน

แนวทางในการพัฒนา 1) บูรณาการมิติทางสังคม–วัฒนธรรม: นอกจากข้อมูลเชิงเทคนิค ควรใช้ community mapping และ participatory GIS เพื่อสะท้อนเสียงของชุมชนชายขอบ 2) สร้าง Data Justice ในเมือง: ฐานข้อมูลเมืองควรเป็นทรัพยากรสาธารณะ เปิดให้ประชาชนเข้าถึง ไม่ใช่ถูกผูกขาดโดยรัฐหรือภาคธุรกิจ 3) ผสาน Multi-scale: ยุทธศาสตร์เมืองต้องเชื่อมโยงทั้งระดับประเทศ (นโยบายชาติ) และระดับท้องถิ่น (ความต้องการของชุมชน) เพื่อไม่ให้การวางผังเมืองเป็นเพียงการสั่งการจากเบื้องบน 4) ทำให้ “ผู้ที่มองไม่เห็น” กลับมาเห็นได้: ต้องออกแบบเครื่องมือที่ทำให้ชุมชนชายขอบปรากฏในข้อมูล เช่น การเก็บข้อมูลพื้นที่สลัม แรงงานนอกระบบ และผู้ด้อยโอกาส

2.5 ระดับท้องถิ่น (Local Scale) ในระดับท้องถิ่น บริบทของการพัฒนามีลักษณะเฉพาะและขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของประชาชน การใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์จึงต้องเน้น การเก็บข้อมูลจากชุมชนและการตัดสินใจร่วม เช่น

2.5.1 Participatory GIS (PGIS) และ Public Participation GIS (PPGIS) ที่เปิดโอกาสให้ชุมชนบันทึกข้อมูลท้องถิ่น เช่น พื้นที่ทำกิน แหล่งน้ำ หรือจุดเสี่ยงภัย

2.5.2 Volunteered Geographic Information (VGI) เช่น ข้อมูลที่ได้จาก OpenStreetMap(เช่น วิกิพีเดีย) เพื่อเสริมฐานข้อมูลทางการ

2.5.3 Community Mapping และ Social Vulnerability Index (SoVI) ที่ใช้ประเมินระดับความเปราะบางของครัวเรือนต่อปัญหาสังคมและภัยพิบัติ

2.5.4 Delphi Method และ Scenario Workshops เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของพื้นที่ตนเอง

ยุทธศาสตร์ท้องถิ่นจึงไม่ใช่เพียง “นโยบายที่ลงมาจากส่วนกลาง” แต่เป็น ยุทธศาสตร์ที่ประชาชนมีส่วนร่วม มีความเป็นเจ้าของ (ownership) และสะท้อนเอกลักษณ์ของพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม แม้เครื่องมือท้องถิ่นมีคุณูปการ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องวิพากษ์ กล่าวคือ 1) คุณภาพและความน่าเชื่อถือของข้อมูล: ข้อมูลจาก VGI หรือ community mapping บางครั้งไม่เป็นมาตรฐาน ไม่ผ่านการตรวจสอบเชิงวิชาการ จึงมีความเสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อน 2) ความไม่สม่ำเสมอของการเข้าถึงเทคโนโลยี: ไม่ใช่ทุกชุมชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทหรือกลุ่มผู้สูงอายุ 3) ปัญหาการบูรณาการ: แม้ว่าข้อมูลชุมชนจะมีคุณค่า แต่บ่อยครั้งไม่สามารถผนวกเข้ากับฐานข้อมูลระดับชาติหรือภูมิภาคได้ 4) ข้อจำกัดด้านทรัพยากรบุคคล: การฝึกอบรมชุมชนให้ใช้เครื่องมือ GIS ต้องใช้เวลา งบประมาณ และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่ใช่ทุกพื้นที่จะมี

นอกจากนั้น ในระดับท้องถิ่น เครื่องมือภูมิศาสตร์ยังสะท้อน “พลวัตของอำนาจ” ที่ควรวิพากษ์ กล่าวคือ 1) การเมืองของการมีส่วนร่วม (politics of participation): แม้เครื่องมือจะเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วม แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่เข้ามามีเสียงมักเป็น “กลุ่มนำ” ของชุมชน ทำให้เสียงของคนชายขอบ (เช่น ผู้หญิง แรงงานไร้สัญชาติ) ถูกกลบ 2) การจัดการข้อมูลโดยรัฐหรือ NGO: บางครั้ง PGIS ถูกใช้โดย NGO หรือหน่วยงานรัฐเพื่อรวบรวมข้อมูลชุมชน แต่ผลสุดท้ายถูกใช้เพื่อ “กำหนดนโยบายจากบนลงล่าง” ไม่ใช่เพื่อเสริมพลังชุมชนจริง 3) ความเสี่ยงด้านการเปิดเผยข้อมูล: การเผยแพร่ข้อมูลชุมชน (เช่น แหล่งน้ำ ที่ดินทำกิน) อาจถูกทุนหรือนายหน้าที่ดินนำไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยไม่ได้คืนประโยชน์แก่ชุมชน ตลอดจน Local Knowledge vs Scientific Knowledge: ข้อมูลท้องถิ่นอาจขัดแย้งกับข้อมูลวิชาการ ทำให้เกิดคำถามว่า “ความจริง” ใดควรถูกใช้กำหนดยุทธศาสตร์ และที่สำคัญ ความเสี่ยงในการทำให้ความรู้ท้องถิ่นถูกทำให้เป็น “ข้อมูลดิจิทัล”: เมื่อภูมิปัญญาถูก encode(การเเปลงข้อมูลเป็นรหัส) ลงใน GIS อาจสูญเสียบริบทดั้งเดิมและถูกแปรความหมายไปตามโลกทัศน์แบบเทคนิค

แนวทางที่ดี ควร 1) พัฒนากลไกตรวจสอบคุณภาพข้อมูล: สร้างระบบ hybrid ที่ผสานข้อมูลชุมชนกับการตรวจสอบเชิงวิชาการ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ 2) ขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม: ต้องจัดงบประมาณเพื่อฝึกอบรมและสนับสนุนเครื่องมือให้ชุมชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มชายขอบ 3) คุ้มครองสิทธิข้อมูลท้องถิ่น: ต้องมีกฎหมายหรือกรอบนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่ชุมชนผลิตถูกนำไปใช้หาประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่ยุติธรรม 4) เสริมสร้าง Data Sovereignty ของชุมชน: ให้ชุมชนเป็นเจ้าของข้อมูลและมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะใช้ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ใด 5) บูรณาการความรู้เชิงวัฒนธรรม: GIS ควรถูกพัฒนาให้สะท้อน “คุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม” ไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงกายภาพ

โดยสรุป เครื่องมือทางภูมิศาสตร์และวิธีวิทยามีบทบาทแตกต่างกันตามระดับพื้นที่ ตั้งแต่ ระดับโลก ที่ใช้ Remote Sensing, GCMs และ Big Earth Data เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือสากล
ระดับภูมิภาค ใช้ Network Analysis, Gravity Models และ Spatial Econometrics เพื่อบูรณาการเศรษฐกิจ–สังคมข้ามพรมแดน
ระดับประเทศ ใช้ National GIS, Land Use Change Models และ Accessibility Analysis เพื่อวางยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ของรัฐอย่างเป็นระบบ
ระดับเมืองและท้องถิ่น ใช้ Urban GIS, Digital Twin, PPGIS และ Community Mapping เพื่อสร้างยุทธศาสตร์ที่สะท้อนคุณภาพชีวิต ความยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของชุมชน

3.การเชื่อมโยงสหวิทยาการ เพื่อสร้างพลังร่วมทางความรู้ อันเป็นรากฐานของการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน

การพัฒนายุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ที่ยั่งยืนจำเป็นต้องบูรณาการความรู้เชิงสหวิทยาการ (interdisciplinary integration) ระหว่างภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากประเด็นการพัฒนามีความซับซ้อนเกินกว่าที่ศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งจะแก้ไขได้ (Harvey, 1973; Sen, 1999) เครื่องมือภูมิศาสตร์ เช่น GIS, Remote Sensing และ Spatial Econometrics แม้จะมีพลังในการสร้างข้อมูลเชิงประจักษ์ แต่ก็ต้องเชื่อมโยงกับทฤษฎีทางสังคมและเศรษฐศาสตร์เพื่ออธิบายพลวัตเชิงอำนาจ ความเหลื่อมล้ำ และความยุติธรรมเชิงพื้นที่ (Lefebvre, 1991; Soja, 2010) ขณะเดียวกัน การใช้ Participatory GIS และ Community Mapping ต้องอาศัยความเข้าใจด้านมานุษยวิทยาและรัฐศาสตร์ เพื่อให้การมีส่วนร่วมของชุมชนไม่ตกเป็นเพียงสัญลักษณ์ หากแต่เสริมสร้างพลังทางการเมืองของท้องถิ่น (Ostrom, 1990) อย่างไรก็ตาม เครื่องมือเชิงเทคนิคมีแนวโน้มจะครอบงำด้วยโลกทัศน์แบบเทคโนแครต (technocratic bias) จนละเลยคุณค่าทางวัฒนธรรมและสังคมที่มิอาจแทนด้วยข้อมูลเชิงปริมาณได้ (Massey, 2005) การสร้างพลังร่วมทางความรู้จึงต้องเกิดจากการ “เชื่อมโยงหลายสาขา” (multi-scalar, multi-disciplinary synthesis) ที่หลอมรวมมิติวิทยาศาสตร์กายภาพ เศรษฐกิจการเมือง และเสียงของประชาชน เข้าสู่ยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ที่เป็นทั้ง ยุติธรรม–แข่งขันได้–และยืดหยุ่น อันเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN, 2015; IPCC, 2022)

ภาพความเชื่อมโยงของสหวิทยาการ เพื่อสร้างพลังร่วมทางความรู้ อันเป็นรากฐานของการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน

ในวันนี้(24 ส.ค. 68) ผู้เขียนจะจบไว้ที่เรื่อง ความเชื่อมโยงของสหวิทยาการ เพื่อสร้างพลังร่วมทางความรู้ อันเป็นรากฐานของการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน ในบทต่อไปจะได้กล่าวถึง ลักษณะภูมิรัฐศาสตร์และอิทธิพลต่อสังคมและการพัฒนา