วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เวลา 19.00 น. ผู้เขียนได้รับเกียรติจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ให้เข้าร่วมในฐานะผู้บรรยายพิเศษ ภายใต้หัวข้อหลัก “สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาสังคมเชิงภูมิภาคและเชิงพื้นที่” สำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา โดยเฉพาะนักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชา “สหวิทยาการเพื่อการพัฒนาสังคม” สำหรับการบรรยายครั้งนี้ ผู้เขียนได้รับมอบหมายให้นำเสนอในหัวข้อย่อย “ภูมิรัฐศาสตร์และอิทธิพลต่อสังคมและการพัฒนา” ซึ่งนับเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่งต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น อันจะเชื่อมโยงความรู้ด้านภูมิศาสตร์เข้ากับศาสตร์อื่น ๆ เพื่อสร้างฐานข้อมูลและเครื่องมือในการตัดสินใจเชิงนโยบายและการวางแผน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้สาระสำคัญของการบรรยายถูกจำกัดอยู่เพียงในห้องเรียนหรือเฉพาะกลุ่มผู้เข้าร่วม ผู้เขียนเห็นสมควรที่จะถ่ายทอดรายละเอียดของบทบรรยายดังกล่าวล่วงหน้า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในสาขายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค ได้ร่วมเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และใช้เป็นพื้นฐานในการแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการร่วมกันต่อไป โดย เนื้อหาของการบรรยายจะมุ่งเน้นไปที่ 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.ภูมิรัฐศาสตร์ในฐานะ “ศาสตร์แห่งอำนาจและพื้นที่”
2. รากฐานทางทฤษฎี
3.อิทธิพลของภูมิรัฐศาสตร์ต่อสังคมและการพัฒนา
4. ฉากทัศน์ของภูมิรัฐศาสตร์ต่อสังคมและการพัฒนา
ผลลัพธ์ของการบรรยายชี้ให้เห็นว่า ทฤษฎีดั้งเดิมของ Mackinder, Mahan และ Spykman ได้ส่งผลถึงข้อจำกัดและอคติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีลักษณะกำหนดนิยมและยูโรเซ็นทริก (Ó Tuathail, 1996; Dalby, 2010) นำไปสู่การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และตั้งคำถามต่อองค์ความรู้ที่มีอยู่ (Agnew, 2013) ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
1.ภูมิรัฐศาสตร์ในฐานะ “ศาสตร์แห่งอำนาจและพื้นที่”
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ในฐานะศาสตร์ทางสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ เกิดขึ้นจากความพยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ภูมิศาสตร์กายภาพ กับ อำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยมีจุดเริ่มต้นในช่วงการล่าอาณานิคมและการแข่งขันของมหาอำนาจยุโรป (Mackinder, 1904) แนวคิดดั้งเดิม เช่น Heartland Theory ของ Mackinder หรือ Sea Power Theory ของ Mahan ได้ให้กรอบวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงทำเลที่ตั้งกับศักยภาพทางยุทธศาสตร์ของรัฐ (Spykman, 1944)
อย่างไรก็ตาม การยึดภูมิรัฐศาสตร์เพียงในมิติทางภูมิศาสตร์ถูกวิพากษ์ว่าเป็น กำหนดนิยม (Determinism) ที่ลดทอนความซับซ้อนของปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ (Ó Tuathail, 1996) อีกทั้งยังสะท้อนมุมมอง ยูโรเซ็นทริก (Eurocentrism) ที่ใช้ภูมิรัฐศาสตร์เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้แก่การครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจของตะวันตก (Dalby, 2010) ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยพลวัตของโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม แนวคิดแบบคลาสสิกไม่เพียงพอที่จะอธิบายความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นกับสังคมและการพัฒนา (Flint, 2017)
ดังนั้น บทนำนี้ชี้ให้เห็นว่าภูมิรัฐศาสตร์มิได้เป็นเพียงศาสตร์ที่ “อธิบายโลก” แต่ยังเป็น วาทกรรม (Discourse) ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อสร้างและรักษาอำนาจ (Agnew, 2013) การศึกษาในระดับปริญญาเอกจึงต้องไม่เพียงแต่อธิบาย แต่ต้อง วิพากษ์และตั้งคำถาม ต่อภูมิรัฐศาสตร์ในฐานะทั้ง “ความจริงเชิงพื้นที่” และ “ความจริงเชิงอำนาจ” โดยเป็นที่เเน่นอนว่า ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) คือศาสตร์ที่ศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างภูมิศาสตร์กับอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร โดยมีรากฐานจากแนวคิดคลาสสิกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19–20 ซึ่งมองว่าพื้นที่และทำเลที่ตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดชะตากรรมของรัฐและความเป็นมหาอำนาจโลก (Mackinder, 1904; Mahan, 1890; Spykman, 1944) ตัวอย่างเช่น Heartland Theory ของ Mackinder ที่เสนอว่าผู้ใดควบคุมยุโรปตะวันออก–เอเชียกลาง ผู้นั้นย่อมมีศักยภาพครองโลก หรือ Sea Power Theory ของ Mahan ที่ให้ความสำคัญกับการครอบครองเส้นทางการค้าทางทะเล
อย่างไรก็ตาม การมองภูมิรัฐศาสตร์ในฐานะ “ศาสตร์แห่งอำนาจและพื้นที่” แบบกำหนดนิยม (Determinism) ถูกวิพากษ์ว่าเป็นการลดทอนความซับซ้อนของสังคมและการพัฒนาให้เหลือเพียงมิติทางภูมิศาสตร์ (Ó Tuathail, 1996) อีกทั้งยังสะท้อน มุมมองยูโรเซ็นทริก (Eurocentrism) ที่ใช้ทฤษฎีเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการล่าอาณานิคมและการครอบงำของมหาอำนาจตะวันตก (Dalby, 2010) ในโลกสมัยใหม่ที่ถูกกำหนดโดยโลกาภิวัตน์ เศรษฐกิจดิจิทัล และสิ่งแวดล้อม แนวคิดแบบคลาสสิกไม่เพียงพอที่จะอธิบายภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำงานผ่านเครือข่าย เทคโนโลยี และอำนาจเชิงวาทกรรม (Agnew, 2013; Flint, 2017) ดังนั้น การศึกษาภูมิรัฐศาสตร์ในระดับปริญญาเอกจึงไม่อาจหยุดอยู่ที่การท่องจำทฤษฎีคลาสสิก แต่ต้องใช้ท่าทีเชิงวิพากษ์เพื่อเปิดโปงว่า ภูมิรัฐศาสตร์มิได้เป็นเพียงวิทยาศาสตร์ที่อธิบายความจริงเชิงพื้นที่ แต่ยังเป็นวาทกรรมที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อสร้างและรักษาอำนาจ การเข้าใจเช่นนี้จะช่วยให้การศึกษาภูมิรัฐศาสตร์ก้าวข้ามจาก “การอธิบายพื้นที่” ไปสู่ “การวิพากษ์โครงสร้างอำนาจ” ที่กำหนดพลวัตสังคมและการพัฒนาในศตวรรษที่ 21
1.1 ลักษณะพื้นที่และขอบเขตทางการเมือง ถือเป็นองค์ประกอบเชิงโครงสร้างที่กำหนดบทบาทและศักยภาพของรัฐในเวทีโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรอบวิชาภูมิรัฐศาสตร์ที่มองพื้นที่ไม่เพียงในฐานะปัจจัยทางกายภาพ แต่ยังเป็นทรัพยากรเชิงอำนาจ (Mackinder, 1904; Mahan, 1890) การมีชายฝั่งยาวและการเข้าถึงทางทะเลถูกมองว่าเป็นข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในด้านการค้า การคมนาคม และการทหาร ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ต่างสามารถใช้พื้นที่ชายฝั่งและที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นกลไกสร้างความได้เปรียบด้านการค้าและโลจิสติกส์ระดับโลก (Kaplan, 2012) ขณะที่รัฐไร้ทางออกสู่ทะเล เช่น ลาว หรืออัฟกานิสถาน มักถูกจำกัดด้วยข้อเท็จจริงเชิงภูมิประเทศและต้องพึ่งพิงประเทศรอบข้างเพื่อเข้าถึงเครือข่ายเศรษฐกิจโลก (Faye, McArthur, Sachs, & Snow, 2004)
อย่างไรก็ดี การอธิบายบทบาทรัฐด้วยมิติทางภูมิประเทศเพียงประการเดียวอาจนำไปสู่การเหมารวมเกินไป (determinism) นักวิชาการร่วมสมัยได้วิพากษ์ว่า ความสำเร็จหรือข้อจำกัดของรัฐไม่ควรถูกกำหนดโดยสภาพภูมิประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับนโยบายภายใน ระบบการปกครอง และการบูรณาการกับเศรษฐกิจโลก (Flint & Taylor, 2018) ตัวอย่างเช่น สวิตเซอร์แลนด์แม้ไม่มีทางออกทะเล แต่สามารถพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการทูตระดับนานาชาติได้ เนื่องจากนโยบายภายในที่ยืดหยุ่นและการสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจเหนือข้อจำกัดด้านภูมิประเทศ
เชิงวิชาการในระดับบัณฑิตศึกษา การทำความเข้าใจมิติพื้นที่ทางภูมิศาสตร์จึงควรผสานการพิจารณาระหว่างโครงสร้างทางภูมิประเทศกับพลวัตทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งต้องตั้งอยู่บนฐานคิดวิพากษ์ (critical geopolitics) ซึ่งมิได้มองภูมิศาสตร์เป็นตัวกำหนดอัตโนมัติ หากแต่เป็น “สนามแห่งการต่อรอง” ที่รัฐและผู้มีอำนาจใช้ประโยชน์หรือถูกจำกัดตามเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์และโลกาภิวัตน์ (Ó Tuathail, 1996)
1.2 ขอบเขตทางการเมือง (political boundaries) ถือเป็นมิติสำคัญที่กำหนดพลวัตทางสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของรัฐ โดยเส้นแบ่งเขตแดนมิได้เป็นเพียงเส้นสมมติที่กำหนดอธิปไตยของรัฐ หากยังสะท้อนถึงการเจรจา ประนีประนอม หรือแม้กระทั่งการบังคับใช้กำลังทางการเมืองในประวัติศาสตร์ (Prescott, 1987) หลายกรณีเส้นแบ่งพรมแดนถูกวางทับกับภูมิศาสตร์ธรรมชาติ เช่น แม่น้ำหรือภูเขา อันช่วยลดความขัดแย้งและทำหน้าที่เป็น “natural frontier” แต่ในอีกด้านหนึ่ง เส้นแบ่งที่ถูกลากขึ้นโดยไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศ เช่น ที่เกิดจากอาณานิคมในแอฟริกา กลับเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และการแย่งชิงทรัพยากรในระยะยาว (Herbst, 2000)
ประเด็นเรื่องทรัพยากรร่วม (shared resources) ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางของขอบเขตทางการเมือง ตัวอย่างเช่น แม่น้ำโขงที่ไหลผ่านหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นทั้งปัจจัยแห่งความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ และในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่แห่งความตึงเครียด เนื่องจากการสร้างเขื่อนและการจัดสรรน้ำระหว่างประเทศ (Sneddon & Fox, 2006) เช่นเดียวกับทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบริเวณทะเลจีนใต้ ที่สามารถเป็นแรงผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่กลับถูกใช้เป็นชนวนแห่งข้อพิพาทด้านอธิปไตยและความมั่นคง (Buszynski & Roberts, 2015)
อย่างไรก็ดี การอธิบายพรมแดนเพียงในฐานะเส้นแบ่งแห่งความขัดแย้งอาจเป็นการลดทอนความซับซ้อนมากเกินไป นักวิชาการแนว critical geopolitics ชี้ให้เห็นว่าพรมแดนเป็น “พื้นที่แห่งการต่อรอง” (spaces of negotiation) ที่รัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตีความ ปรับใช้ หรือสร้างกลไกความร่วมมือใหม่ ๆ เพื่อบริหารความแตกต่างทางผลประโยชน์ (Newman, 2006) นั่นหมายความว่า พรมแดนมิใช่ข้อจำกัดทางการพัฒนาเพียงอย่างเดียว หากยังสามารถเป็น “ทรัพยากรทางการเมือง” ที่สร้างโอกาสเชิงบวกได้ หากรัฐมีศักยภาพด้านสถาบัน กฎหมาย และการทูตเพียงพอในการจัดการ
ทางวิชาการจึงมองว่า การพัฒนาสังคมในพื้นที่ชายแดนและการจัดการทรัพยากรร่วมจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิด “พรมแดนเป็นเส้นแบ่ง” (boundary as division) มาสู่การมองพรมแดนในฐานะ “พื้นที่แห่งการเชื่อมโยง” (boundary as connection) ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มภูมิรัฐศาสตร์ร่วมสมัยที่เน้นการบูรณาการภูมิภาคและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Paasi, 2009) ดังนั้น ความมั่นคงและการพัฒนาในระยะยาวจึงมิได้ขึ้นอยู่กับลักษณะเส้นเขตแดนเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของรัฐและสังคมในการจัดการกับพลวัตข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน
1.3 บทบาทของภูมิรัฐศาสตร์ต่อการพัฒนาระดับภูมิภาค ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กำหนดทิศทางและพลวัตการเติบโตของสังคมเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางคมนาคมและการค้าทางทะเลที่สำคัญที่สุดของโลก (Kaplan, 2012) เส้นทางเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ถือเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากมีปริมาณการขนส่งสินค้าสูงกว่าหนึ่งในสามของการค้าระหว่างประเทศทั้งหมด (Buszynski & Roberts, 2015) ส่งผลให้ภูมิภาคนี้ไม่เพียงแต่มีบทบาททางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แต่ยังกลายเป็นเวทีแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจโลก เช่น จีนและสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเป็นพื้นที่ที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือสินค้าเกษตร ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางการลงทุนและโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาค (Ganesan, 2000) อย่างไรก็ตาม แม้ทรัพยากรเหล่านี้จะเป็นฐานสนับสนุนการพัฒนา แต่ก็เป็นปัจจัยแห่งความขัดแย้งในอีกมิติหนึ่ง เช่น ข้อพิพาทเรื่องพลังงานและเขตแดนทางทะเลในทะเลจีนใต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์สามารถเป็นได้ทั้ง “โอกาส” และ “อุปสรรค” ของการพัฒนา ขึ้นอยู่กับการจัดการของรัฐและสถาบันระหว่างประเทศ (Thompson, 2014)
ในทางวิชาการ การอธิบายบทบาทของภูมิรัฐศาสตร์ต่อการพัฒนาเพียงมิติของ “ภูมิประเทศและทรัพยากร” อาจเป็นการมองที่ลดทอนความซับซ้อนเกินไป (determinism) เพราะการพัฒนาระดับภูมิภาคยังขึ้นกับปัจจัยทางการเมืองภายใน ความเข้มแข็งของสถาบันประชาคม เช่น อาเซียน และการปรับตัวของรัฐต่อพลวัตเศรษฐกิจโลก (Acharya, 2014) หากขาดความสามารถในการบูรณาการความร่วมมือเชิงสถาบันแล้ว ศักยภาพเชิงภูมิรัฐศาสตร์อาจกลับกลายเป็น “กับดักภูมิรัฐศาสตร์” ที่ก่อให้เกิดการแข่งขันด้านความมั่นคงมากกว่าการพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน
1.4 ภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นตัวกำหนดรูปแบบความร่วมมือและการแข่งขันระหว่างรัฐ ภูมิรัฐศาสตร์ทำหน้าที่เป็น “โครงสร้างเชิงสถาบัน–เชิงอำนาจ” ที่กำหนดทั้งรูปแบบความร่วมมือและการแข่งขันระหว่างรัฐ โดยมิได้จำกัดอยู่เพียงมิติความมั่นคง หากยังออกแบบภูมิทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจผ่านเครื่องมือเชิงนโยบายและสถาบันเหนือรัฐชาติ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone:SEZs) ซึ่งมักตั้งบริเวณชายแดนเพื่อเชื่อมโครงข่ายการผลิต การค้า และโลจิสติกส์ข้ามแดน (Zeng, 2015; Farole, 2011) ตลอดจน กรอบบูรณาการภูมิภาค อย่างอาเซียน สหภาพยุโรป และ RCEP ที่สถาปนากติกา ชุดมาตรฐาน และระบบสิทธิพิเศษทางภาษีให้เอื้อต่อห่วงโซ่มูลค่าระดับภูมิภาค (Keohane & Nye, 1977; Buzan & Wæver, 2003; Petri & Plummer, 2020) ผลคือ ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ทำงานเป็น “โครงกระดูก” ให้ตลาดและสถาบันประชาคมเคลื่อนไหว—กำหนดทั้งทิศทางการลงทุน การจัดวางอุตสาหกรรม และรูปแบบการเชื่อมต่อของหัวเมืองชายแดน
อย่างไรก็ดี มีงานวิจัยเปรียบเทียบชี้ว่า SEZs ไม่ได้ก่อ “ผลชนะร่วมกัน” โดยอัตโนมัติ หากออกแบบสถาบันอ่อนแอ SEZs อาจกลายเป็น “enclave”(วงล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ) ตัดขาดเศรษฐกิจท้องถิ่น สร้างการกระจุกตัวของผลประโยชน์ และกดมาตรฐานแรงงาน (Farole, 2011; Levien, 2013) แม้หลักฐานเชิงเศรษฐมิติจากจีนยืนยันผลบวกต่อการเติบโตระดับท้องถิ่น (Wang, 2013) แต่การกระจายผลประโยชน์ขึ้นกับโครงสร้างกรรมสิทธิ์ โยงใยกับอำนาจต่อรองของรัฐส่วนกลาง–ท้องถิ่น และความสามารถในการ “ยึดเหนี่ยว” กิจกรรมต่อเนื่องนอกเขต (Zeng, 2015; Baldwin, 2016) —-พิจารณาจาก สปป.ลาว ในต้นผึ้ง เวียงจันทร์ และ กัมพูชา (ผู้เขียน) มุมมองเชิงวิพากษ์จึงเตือนให้ระวัง ภูมิรัฐศาสตร์เชิงกำหนดนิยม ที่มองตำแหน่งและโครงสร้างโครงข่ายเป็นเงื่อนไขพอเพียงโดยละเลยในการออกแบบสถาปัตยกรรมสถาบันที่มีประสิทธิภาพส่งผลต่อการคุ้มครองแรงงาน–สิ่งแวดล้อม และนโยบายพัฒนาท้องถิ่นเชิงบูรณาการ (Ó Tuathail, 1996)
สำหรับ การรวมกลุ่มภูมิภาค อาเซียน สหภาพยุโรป และ RCEP(Regional Comprehensive Economic Partnership:มีสมาชิก15 ประเทศในเอเชียเเปซิฟิก) แสดงให้เห็นการสถาปนา “อำนาจกำกับกติกา” (rule-making power) ที่ส่งผลตรงต่อการปรับตัวของรัฐและภาคธุรกิจ ตั้งแต่กฎแหล่งกำเนิดสินค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้า ไปจนถึงมาตรฐานดิจิทัลและทรัพย์สินทางปัญญา (Mattli, 1999; Moravcsik, 1998; Petri & Plummer, 2020) ทว่า ความสำเร็จของบูรณาการขึ้นกับ สภาวะทางการเมืองและสถาบัน มิใช่ภูมิศาสตร์ล้วน ๆ—กรณีอาเซียน “วิถีอาเซียน” แบบฉันทามติสร้างเสถียรภาพเชิงการเมือง แต่ก็จำกัดความทะเยอทะยานด้านการผูกพันตามกฎหมายเมื่อเทียบกับสหภาพยุโรป (Acharya, 2014) เช่น กรณีของการเข้าออกเมือง สินค้าเสรี ซึ่งบางประเทศในอาเซียนยังจำกัดสิทธิ(ผู้เขียน) ขณะเดียวกัน อิทธิพลของรัฐมหาอำนาจในกรอบ RCEP ทำให้เกิดพลวัตเชิงอำนาจที่ไม่สมมาตร ซึ่งอาจขยายโอกาสการค้าแต่ก็เสี่ยงตอกย้ำความเหลื่อมล้ำและการพึ่งพิงในห่วงโซ่มูลค่า หากไร้กลไกถ่วงดุลด้านการแข่งขัน ยกระดับทักษะแรงงาน และมาตรการสิ่งแวดล้อม (Baldwin, 2016; Buzan & Wæver, 2003)
กล่าวโดยสรุป ภูมิรัฐศาสตร์เป็นทั้ง เงื่อนไขเปิดพื้นที่ ให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและ อุปกรณ์เชิงอำนาจ ที่กำหนดผู้กำไร–ผู้ขาดทุน การออกแบบ SEZs และกรอบบูรณาการจึงต้องยึดแนวคิด “พรมแดนในฐานะพื้นที่เชื่อมโยง” มากกว่า “เส้นแบ่ง” ควบคู่กับสถาบันกำกับดูแลที่เข้มแข็ง มาตรการคุ้มครองสังคม–สิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงภูมิภาคที่สร้างความสามารถอัปเกรดของท้องถิ่น มิฉะนั้น ภูมิรัฐศาสตร์เดียวกันอาจผลิต การเติบโตไร้การ包容 และความ脆弱ทางสังคมมากกว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน (Acharya, 2014; Zeng, 2015; Farole, 2011).
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์มิได้จำกัดผลกระทบเฉพาะมิติการเมืองและเศรษฐกิจ แต่ยังแทรกซึมเข้าไปกำหนด โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม ของภูมิภาคในเชิงลึก พื้นที่ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ เช่น ช่องแคบมะละกา หรือเส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเล ล้วนเป็นจุดเชื่อมโยงของการเคลื่อนไหวของผู้คน สินค้า และวัฒนธรรม จนก่อให้เกิดพลวัตทางสังคมและการผสมผสานทางวัฒนธรรม (cultural hybridity) ที่สะท้อนความเป็น “พื้นที่สัญจร” (transit spaces) ของภูมิภาคนั้น ๆ (Clifford, 1997; Pieterse, 2009) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อวิถีชีวิตประชาชน หากยังสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ทางสังคม
อย่างไรก็ดี ภูมิรัฐศาสตร์ในฐานะเงื่อนไขเชิงโครงสร้างยังสามารถเป็นแหล่งก่อให้เกิด ความเปราะบางทางสังคม ได้เช่นกัน ภูมิภาคที่อยู่ในเขตความขัดแย้ง เช่น ตะวันออกกลาง หรือชายแดนเมียนมา–บังกลาเทศ มักเผชิญกับการอพยพและการพลัดถิ่นจำนวนมหาศาล ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากร สวัสดิการสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (human security) (UNHCR, 2022; Kaldor, 2013) การเคลื่อนย้ายผู้ลี้ภัยและแรงงานข้ามชาติในบริบทนี้มิใช่เพียงปรากฏการณ์ด้านประชากร แต่สะท้อนถึงการเชื่อมโยงเชิงโครงสร้างระหว่างภูมิรัฐศาสตร์กับความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ในระดับภูมิภาค
ทางวิชาการ การอธิบายภูมิรัฐศาสตร์เพียงในฐานะ “ตัวกำหนดเชิงภูมิประเทศ” ที่ทำให้เกิดการผสมผสานวัฒนธรรมและการย้ายถิ่นอาจเป็นการลดทอนความซับซ้อนเกินไป เพราะในความเป็นจริง กระบวนการเหล่านี้ถูกกำกับโดย อำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และวาทกรรมทางวัฒนธรรม (Said, 1978; Ó Tuathail, 1996) การผสมผสานทางวัฒนธรรมอาจนำไปสู่การสร้างสรรค์อัตลักษณ์ใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจก่อให้เกิดการต่อต้านและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์หรือศาสนา หากรัฐหรือสถาบันไม่สามารถบริหารจัดการ “พื้นที่ชายขอบ” (borderlands) อย่างรอบด้าน การวิเคราะห์เชิงวิชาการจึงจำเป็นต้องก้าวข้ามการมองภูมิรัฐศาสตร์แบบเชิงกำหนดนิยม (determinism) มาสู่การพิจารณาเชิงวิพากษ์ที่ตระหนักถึงพลวัตทางอำนาจและประวัติศาสตร์ร่วมที่กำหนดชีวิตผู้คน
กล่าวโดยสรุป ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ทำหน้าที่ทั้งในฐานะ ตัวเปิดพื้นที่ ให้เกิดการเชื่อมโยงทางสังคมและวัฒนธรรม และในฐานะ ตัวสร้างเงื่อนไขของความเปราะบาง ที่กระทบต่อความมั่นคงของมนุษย์ การทำความเข้าใจเชิงลึกจึงต้องมองเห็นความย้อนแย้ง (ambivalence) ระหว่าง “โอกาสในการเชื่อมโยง” กับ “ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง” ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์ในโลกปัจจุบัน
2.รากฐานทางทฤษฎี
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ในฐานะศาสตร์แห่งการเชื่อมโยงระหว่างอำนาจและพื้นที่ มิได้ถือกำเนิดขึ้นแบบไร้รากฐาน หากแต่ถูกวางกรอบทางความคิดอย่างเป็นระบบโดยนักยุทธศาสตร์และนักวิชาการการเมืองระหว่างประเทศในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19–20 โดยเฉพาะ Halford J. Mackinder, Alfred Thayer Mahan และ Nicholas J. Spykman งานของทั้งสามบุคคลได้กลายเป็นรากฐานเชิงทฤษฎีที่สำคัญซึ่งยังคงทรงอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายและการศึกษาภูมิรัฐศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
2.1 Mackinder กับทฤษฎี Heartland
Mackinder (1904) นำเสนอทฤษฎี Heartland ภายใต้สมมติฐานที่ว่า “ผู้ใดครอบครองยุโรปตะวันออก ย่อมครอง Heartland และผู้ใดครอง Heartland ย่อมครองเกาะโลก (World Island) และครอบครองโลกได้ในที่สุด” แนวคิดนี้สะท้อนความเชื่อว่าภูมิภาคยูเรเชีย โดยเฉพาะพื้นที่ตอนในที่อุดมด้วยทรัพยากรและยากต่อการรุกรานจากภายนอก คือหัวใจเชิงยุทธศาสตร์ของอำนาจโลก ทฤษฎี Heartland จึงเป็นการเน้น “พลังทางบก” (land power) ในฐานะปัจจัยชี้ขาดต่อการครอบงำทางการเมืองโลก อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดของทฤษฎีนี้คือการมองโลกในเชิงกำหนดนิยม โดยลดบทบาทของทะเล เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก (Flint & Taylor, 2018)

2.2 Mahan กับทฤษฎี Sea Power
ในอีกด้านหนึ่ง Mahan (1890) เสนอทฤษฎี Sea Power โดยชี้ว่าความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งของรัฐขึ้นกับการควบคุมทะเล เส้นทางคมนาคม และกองทัพเรือที่เข้มแข็ง เขามองว่าการครอบครองจุดยุทธศาสตร์ทางทะเล เช่น คลองหรือช่องแคบ สามารถสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ทั้งทางการค้าและการทหาร ตัวอย่างเช่น อาณาจักรอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ที่สามารถควบคุมเส้นทางเดินเรือทั่วโลกได้ กลายเป็นต้นแบบของการสร้างอำนาจผ่านทะเล แนวคิดนี้จึงเน้น “พลังทางทะเล” (maritime power) ว่าเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อการครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก ทว่าก็มีข้อวิจารณ์ว่า Mahan ให้ความสำคัญกับ “โครงสร้างเชิงกายภาพ” ของทะเลมากเกินไป และมองข้ามพลวัตของเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์สมัยใหม่ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกองทัพเรือเพียงอย่างเดียว (Kaplan, 2012)
2.3 Spykman และทฤษฎี Rimland
Spykman (1942) วิพากษ์และต่อยอดจากทั้ง Mackinder และ Mahan โดยเสนอทฤษฎี Rimland ว่าพื้นที่ชายขอบของยูเรเชีย (Rimland) ซึ่งทอดยาวจากยุโรปตะวันตก ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นหัวใจแห่งอำนาจที่แท้จริง เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีประชากรหนาแน่น และเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก Spykman เชื่อว่า “ผู้ใดควบคุม Rimland ย่อมครองชะตากรรมของโลก” ทฤษฎีนี้จึงผสานแนวคิด land power และ sea power เข้าด้วยกัน และให้ความสำคัญกับการควบคุมชายขอบมากกว่าศูนย์กลาง อย่างไรก็ตาม ข้อวิจารณ์คือ Rimland theory มีลักษณะ “ยุทธศาสตร์เชิงทหาร” มากกว่ามิติทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม จึงอาจลดทอนความซับซ้อนของโลกสมัยใหม่ที่ถูกกำหนดด้วยปัจจัยนอกเหนือจากภูมิประเทศ (Buzan & Wæver, 2003)
ในเชิงวิชาการ เมื่อเปรียบเทียบกัน Mackinder ให้ความสำคัญกับ “พลังบก”, Mahan เน้น “พลังทะเล”, ส่วน Spykman เสนอ “พลังชายขอบ” ที่บูรณาการทั้งสองมิติ อย่างไรก็ดี ทั้งสามทฤษฎีต่างมีข้อจำกัดร่วมกันคือการอธิบายโลกในกรอบ ภูมิรัฐศาสตร์เชิงกำหนดนิยม (deterministic geopolitics) ที่ให้ภูมิประเทศเป็นตัวแปรหลักในการกำหนดอำนาจและความมั่นคง ปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวถูกวิพากษ์โดยแนว ภูมิรัฐศาสตร์เชิงวิพากษ์ (critical geopolitics) ซึ่งมองว่าพื้นที่และภูมิรัฐศาสตร์มิใช่ข้อเท็จจริงที่ตายตัว แต่เป็นผลผลิตจากวาทกรรมและการต่อรองทางการเมือง (Ó Tuathail, 1996) กระนั้นก็ตาม ทฤษฎีของ Mackinder, Mahan และ Spykman ยังคงทรงอิทธิพลอย่างสูง โดยเป็นรากฐานให้เข้าใจพลวัตของอำนาจโลกตั้งแต่ยุคจักรวรรดินิยมจนถึงการเมืองโลกในศตวรรษที่ 21

3.อิทธิพลของภูมิรัฐศาสตร์ต่อสังคมและการพัฒนา
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) เป็นศาสตร์ที่เชื่อมโยงระหว่าง ภูมิศาสตร์ กับ อำนาจรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า พื้นที่และทรัพยากร มีบทบาทชี้นำต่อการจัดวางยุทธศาสตร์ การกำหนดนโยบาย และรูปแบบการพัฒนาของสังคม (Mackinder, 1904; Mahan, 1890; Spykman, 1944) อย่างไรก็ดี ในโลกปัจจุบันที่ซับซ้อนกว่าศตวรรษก่อน ภูมิรัฐศาสตร์มิได้สะท้อนเพียงการแย่งชิงพื้นที่ แต่ยังซ้อนทับไปถึงมิติ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม (Ó Tuathail, 1996) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพลวัตสังคมและการพัฒนาทั้งในระดับรัฐและระดับโลก
3.1 ภูมิรัฐศาสตร์มีบทบาทกำหนดโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ผ่านการครอบครองทรัพยากรและเส้นทางคมนาคม ตัวอย่างเช่น เส้นทางสายไหมใหม่ (Belt and Road Initiative) ของจีนที่เชื่อมโยงเอเชียกับยุโรปและแอฟริกา สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการค้าเป็นทั้งผลลัพธ์และเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ (Summers, 2016) ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปต่างผลักดัน Indo-Pacific Strategy เพื่อต้านอิทธิพลของจีน → สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคมิใช่เพียงการเติบโต แต่คือการวางตำแหน่งเชิงอำนาจในเวทีโลก
ในทางวิชาการ การแข่งขันดังกล่าวกลับก่อให้เกิด ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง (Structural Inequality) โดยประเทศกำลังพัฒนาถูกผูกติดในห่วงโซ่อุปทานที่ตนไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การเป็นเพียงผู้ส่งออกวัตถุดิบแต่ต้องนำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูง (Frank, 1969) พิจารณาได้จากประเทศไทยในอดีตและปัจจุบัน นำไปสู่การพัฒนาที่พึ่งพาภายนอกมากกว่าการสร้างศักยภาพในประเทศ การพึงพาไม่สะท้อนถึงศักยภาพในการเเข่งขัน
3.2 ภูมิรัฐศาสตร์กับวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ภูมิรัฐศาสตร์มิได้ส่งผลต่อการเมืองเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนผ่าน วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ เช่น การเผยแพร่ Soft Power ของเกาหลีใต้ผ่าน K-pop และสื่อบันเทิง หรือการใช้ Hollywood ของสหรัฐอเมริกาในการสร้างวาทกรรม “โลกเสรี” สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แต่เป็นการผลิต วาทกรรมทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่สร้างความชอบธรรมต่ออำนาจในระดับโลก (Nye, 2004)
ในทางวิชาการ แม้ Soft Power จะเปิดพื้นที่ของความร่วมมือและการผสมผสาน (Hybridization) แต่ก็มิอาจมองข้ามการเป็น เครื่องมือเชิงวัฒนธรรมของจักรวรรดินิยมใหม่ (Neo-Imperialism) ที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุล เช่น การครอบงำทางภาษาและการเสื่อมถอยของอัตลักษณ์ท้องถิ่น(ออบป้า:ที่รัก;ภาษาเกาหลี)
3.3 ภูมิรัฐศาสตร์กับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ในศตวรรษที่ 21 ปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งเรื่องน้ำในลุ่มแม่น้ำโขง หรือการแย่งชิงทรัพยากร Rare Earths ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของพลังงานหมุนเวียนและอุตสาหกรรมดิจิทัล (Dalby, 2020) การประชุม COP และการเจรจาระหว่างประเทศยังสะท้อนให้เห็นการใช้ประเด็น Climate Change เป็นพื้นที่ต่อรองทางอำนาจ
ในทางวิชาการ แม้จะมีกรอบความร่วมมือระดับโลก แต่ในทางปฏิบัติกลับเกิดสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า Climate Colonialism คือประเทศพัฒนาแล้วผลักภาระการลดก๊าซเรือนกระจกไปยังประเทศกำลังพัฒนา ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ก่อปัญหาหลัก เช่น …..กลไกการค้าคาร์บอน (Carbon Markets) ประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในยุโรป กำหนดระบบ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ที่บังคับให้สินค้านำเข้าต้องเสียภาษีตามปริมาณการปล่อยคาร์บอน กระบวนการนี้แม้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซ แต่ก็สร้างแรงกดดันต่อประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดเทคโนโลยีสะอาดและทุนสนับสนุน → เสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน (Mattoo et al., 2021) ทั้งนี้ แม้ CBAM จะอ้างว่าปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ในเชิงโครงสร้างกลับเป็นการสร้างกำแพงทางการค้าใหม่ที่ทำให้ประเทศยากจนเสียเปรียบ
3.4 ภูมิรัฐศาสตร์กับความมั่นคงและสังคม ภูมิรัฐศาสตร์ยังส่งผลต่อ ความมั่นคงมนุษย์ (Human Security) เช่น ความขัดแย้งยูเครน–รัสเซียที่ไม่เพียงเป็นสงครามดินแดน แต่ยังกระทบต่อ ความมั่นคงทางอาหารและพลังงานโลก การปิดกั้นเส้นทางส่งออกข้าวสาลีและก๊าซธรรมชาติส่งผลให้หลายภูมิภาคประสบวิกฤตการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน (World Bank, 2023) เมื่อ ความมั่นคงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ซ้อนทับกับความมั่นคงเชิงมนุษย์ ทำให้เกิดคำถามว่า ภูมิรัฐศาสตร์รับใช้ใคร? —รัฐมหาอำนาจที่ได้อำนาจต่อรอง หรือประชาชนทั่วไปที่ต้องเผชิญความยากลำบาก?……ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครน (Ukraine War) เมื่อรัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022 ทำให้เส้นทางส่งออก ข้าวสาลี ข้าวโพด และน้ำมันพืช ผ่านทะเลดำถูกตัดขาด ผลลัพธ์: ราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางที่พึ่งพาการนำเข้าข้าวสาลีจากยูเครน → เกิด วิกฤตอาหารโลก (World Bank, 2023) นอกจากนี้ ราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปพุ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและครัวเรือน → กลายเป็นวิกฤตพลังงาน กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า “สงครามภูมิรัฐศาสตร์” ไม่ได้หยุดอยู่ในสนามรบ แต่ส่งผลถึงประชากรโลกที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้เกิดคำถามเชิงจริยธรรมว่า ใครคือผู้รับภาระที่แท้จริงของความขัดแย้ง?
โดยสรุป ภูมิรัฐศาสตร์มิได้เป็นเพียงศาสตร์แห่งการกำหนดดินแดนและอำนาจ หากแต่เป็น โครงสร้างเชิงพลวัต (dynamic structure) ที่เชื่อมโยงระหว่าง ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงมนุษย์ เข้าด้วยกันในฐานะ “เงื่อนไขการพัฒนา” ของรัฐและสังคม การพิจารณาฉากทัศน์ของภูมิรัฐศาสตร์ต่อสังคมและการพัฒนาจึงต้องมองผ่าน หลายมิติที่ซ้อนทับกัน ได้แก่ การแข่งขันทางเศรษฐกิจ (Geoeconomics) การสร้างอัตลักษณ์และ Soft Power (Nye, 2004) ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและ Climate Change (Dalby, 2020) และปัญหาความมั่นคงเชิงมนุษย์ (UNDP, 1994) ในเชิงโครงสร้าง การที่รัฐมหาอำนาจแสวงหาผลประโยชน์ผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น Belt and Road Initiative ของจีน) หรือการสร้างกติกาใหม่ด้านการค้าและสิ่งแวดล้อม (เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism) แสดงให้เห็นว่า “การพัฒนา” มิใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยลำพัง หากแต่เป็นผลลัพธ์ของภูมิรัฐศาสตร์ที่กดทับหรือเอื้ออำนวยต่อรัฐและสังคมต่าง ๆ (Summers, 2016; Mattoo et al., 2021)
อย่างไรก็ดี การเชื่อมโยงนี้ไม่ปราศจากข้อโต้แย้ง ในมุมวิพากษ์ ยังมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อย(รวมทั้งผู้เขียน)ชี้ว่า ภูมิรัฐศาสตร์เป็นวาทกรรม (discourse) ที่ถูกสร้างโดยมหาอำนาจเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตน มากกว่าการอธิบายความจริงเชิงวิทยาศาสตร์ (Ó Tuathail, 1996) เช่น แนวคิด Climate Colonialism ที่สะท้อนการผลักภาระการปรับตัวต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมไปยังประเทศกำลังพัฒนา (Roberts & Parks, 2007) หรือตัวอย่างสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ก่อให้เกิดวิกฤตอาหารและพลังงานทั่วโลก ย้ำชัดว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มีผลโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป มากกว่าจะเป็นเพียงการแข่งขันระหว่างรัฐ
ดังนั้น ฉากทัศน์ของภูมิรัฐศาสตร์ต่อสังคมและการพัฒนาไม่ควรถูกมองเพียงในฐานะ โครงสร้างอำนาจของรัฐ แต่ต้องถูกวิเคราะห์ในมิติที่ครอบคลุมถึง ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของมนุษย์ การศึกษาภูมิรัฐศาสตร์จึงไม่เพียงเพื่อทำความเข้าใจพรมแดนของรัฐ หากแต่เป็นการทำความเข้าใจว่าใครคือผู้ได้ประโยชน์ ใครคือผู้เสียเปรียบ และการพัฒนาภายใต้แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์นี้จะนำไปสู่ ความยั่งยืนหรือความเหลื่อมล้ำ
4.ฉากทัศน์ของภูมิรัฐศาสตร์ต่อสังคมและการพัฒนา
ฉากทัศน์ที่นำเสนอนี้ สังเคราะห์มาจาก ข้อมูลที่ได้นำเสนอมาตั้งเเต่ต้น จากภูมิรัฐศาสตร์คลาสสิก—Ratzel (Lebensraum), Mackinder (Heartland), Spykman (Rimland)—สู่พลวัตศตวรรษที่ 21 ที่อำนาจไม่ได้ตั้งอยู่เฉพาะ “บก–ทะเล” หากรวมถึงโครงข่ายห่วงโซ่อุปทาน ข้อมูล/AI และระบบพลังงาน–ภูมิอากาศ โดยเสนอ 5 ฉากทัศน์ (Scenario) พร้อมวิพากษ์และแนวทางพัฒนาที่ “ไหลข้ามระดับ” (โลก→ชาติ→ท้องถิ่น) อย่างเป็นระบบ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
4.1 SCENARIO 1: โลกสองขั้วเทคโน–เศรษฐกิจ (Techno-Economic Bifurcation) ตรรกะภูมิรัฐศาสตร์ คือความแตกแยกของมาตรฐานเทคโนโลยี (ชิป/5G/AI/การชำระเงินดิจิทัล/กฎข้อมูล) ทำให้โลกขยับสู่ supply chains สองระบบคู่ขนาน(จีน กับ ตะวันตก) อำนาจย้ายจากภูมิศาสตร์กายภาพสู่ “ภูมิศาสตร์ของมาตรฐานและแพลตฟอร์ม” (Keohane & Nye, 1977; Rodrik, 2011) โดยมองว่า ในศตวรรษที่ 21 โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่สภาวะที่ “มาตรฐานเทคโนโลยี” กลายเป็นเส้นแบ่งทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ มหาอำนาจแต่ละฝ่ายพยายามสร้างระบบเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานของตนเอง ทั้งด้าน 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบการชำระเงินดิจิทัล และการกำกับข้อมูล ทำให้เกิด “โลกคู่ขนานทางเทคโนเศรษฐกิจ” ที่บีบให้ประเทศต่าง ๆ ต้องเลือกระหว่างการเข้าร่วมขั้วหนึ่ง หรือหาทาง “ถ่วงดุล” ด้วยการพัฒนาความสามารถในหลายมาตรฐานพร้อมกัน ระดับโลกจึงเผชิญแรงเสียดทานสูงต่อการค้าและการสื่อสารข้อมูล ขณะที่ระดับชาติต้องกำหนดนโยบาย multi-alignment เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงมหาอำนาจเพียงฝ่ายเดียว ส่วนในระดับท้องถิ่น การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและคลัสเตอร์เทคโนโลยีใหม่กลายเป็นสิ่งจำเป็น เมืองและภูมิภาคที่มีศักยภาพต้องปรับตัวเป็น “เมืองดิจิทัล” ที่ดึงดูดแรงงานทักษะสูง การวิพากษ์ต่อฉากทัศน์นี้คือ แม้การแยกขั้วสามารถลดความเปราะบางเชิงโครงสร้าง แต่ก็เสี่ยงก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลและต้นทุนธุรกรรมที่สูงขึ้น จึงควรมีนโยบายเสริม เช่น interoperability by design และกองทุนเพื่อ reskill/upskill แรงงานเพื่อให้ท้องถิ่นไม่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในคลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้
4.2 SCENARIO 2: พหุขั้วภูมิภาคและมหาอำนาจระดับกลาง (Multipolar Regionalism) ภูมิรัฐศาสตร์กำลังขยับจากโลกแบบสองขั้วไปสู่ “พหุขั้ว” โดยกลุ่มภูมิภาคและมหาอำนาจระดับกลางมีบทบาทมากขึ้น สหภาพยุโรป (EU) อาเซียน (ASEAN) หรือความร่วมมือในตะวันออกกลาง เช่น GCC ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเมืองและเศรษฐกิจที่สามารถต่อรองกับมหาอำนาจใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพิจารณาในระดับโลกจึงเต็มไปด้วยกติกาหลายชุดที่ทับซ้อนกันและสร้างทั้งโอกาสและความไม่แน่นอน หากพิจารณาในระดับชาติในบริบทนี้จึงหันมาใช้ความตกลงทางการค้า เช่น RCEP((Regional Comprehensive Economic Partnership) คือ ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่าง 15 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก) และ CPTPP(ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) เป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีสมาชิก 11 ประเทศ ) เป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรองและดึงดูดการลงทุน หากพิจารณาในระดับท้องถิ่น จะกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์โดยตรง เขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองท่า และด่านชายแดนถูกปรับให้เป็น “ประตูภูมิภาค” ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างไม่เคยมีมาก่อน การวิพากษ์คือ แม้พหุขั้วช่วยกระจายอำนาจและเสริมความยืดหยุ่น แต่ก็อาจนำไปสู่ “การแข่งขันด้านมาตรฐานต่ำ” (race to the bottom) โดยเฉพาะในมิติแรงงานและสิ่งแวดล้อม หากขาดธรรมาภิบาลข้ามพรมแดน ดังนั้น การสร้างกลไก single window ศุลกากรดิจิทัล และมาตรการป้องกันสิทธิแรงงาน–สิ่งแวดล้อม จึงเป็นหัวใจของการพัฒนาอย่างสมดุล
4.3 SCENARIO 3: ภูมิอากาศ–ความมั่นคง–อุตสาหกรรมสีเขียว (Climate–Security–Industry Nexus) เมื่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น ภูมิรัฐศาสตร์ได้ขยายจากการแย่งชิงทรัพยากรสู่การควบคุม “คาร์บอน” และ “มาตรฐานสีเขียว” หากพิจารณาในระดับโลกเห็นการก่อรูปของตลาดคาร์บอน การใช้มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป และการก่อตั้งพันธมิตรด้านเทคโนโลยีสะอาด หากพิจารณาในระดับชาติ รัฐจึงจำเป็นต้องผลักดันนโยบายอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น พลังงานไฟฟ้าสะอาด แบตเตอรี่ ไฮโดรเจน รวมทั้งวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านอาหาร น้ำ และพลังงานให้สอดคล้องกัน หากพิจารณาในระดับท้องถิ่น เมืองที่เคยพึ่งพาอุตสาหกรรมคาร์บอนสูงต้องเผชิญการเปลี่ยนผ่าน (Just Transition) เพื่อปกป้องแรงงานและชุมชน เกษตรกรต้องปรับสู่เกษตรอัจฉริยะและเกษตรคาร์บอนต่ำ ในทางวิชาการ แม้มาตรการสีเขียวสร้างงานใหม่และลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม แต่ก็อาจถูกใช้เป็น “เครื่องมือกีดกันทางการค้า” และสร้างภาระให้กับประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น การออกแบบนโยบายต้องพ่วงด้วยกองทุนเปลี่ยนผ่าน การลงทุนใน smart grid(ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อควบคุมและจัดการระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ และยั่งยืนมากขึ้น ตั้งแต่การผลิต การส่ง การจำหน่ายไฟฟ้า ไปจนถึงการใช้ไฟฟ้าโดยผู้บริโภค /microgrid(ระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ประกอบด้วยแหล่งผลิตไฟฟ้า (เช่น โซลาร์เซลล์) ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบควบคุมอัตโนมัติ สามารถทำงานได้อย่างอิสระจากระบบไฟฟ้าหลัก (Main Grid) หรือเชื่อมต่อกับระบบหลักก็ได้ และการใช้ blended finance(กลยุทธ์การใช้เงินทุนสาธารณะหรือเงินทุนการกุศล (ทุนเร่งปฏิกิริยา) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนในโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนในตลาดเกิดใหม่และตลาดชายแดน) เพื่อดึงทุนเอกชนเข้าสู่การพัฒนาที่เป็นธรรม
4.4 SCENARIO 4: ภูมิรัฐศาสตร์ข้อมูลและ AI (Data/AI Geopolitics) ในโลกยุคข้อมูล ภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้แข่งขันเพียงเรื่องดินแดนหรือพลังงาน หากแต่คือ “การควบคุมเครือข่าย–แพลตฟอร์ม–อัลกอริทึม” มาตรฐาน AI หลายชุดถูกผลักดันพร้อมกับข้อกำหนดด้าน Data Sovereignty และความปลอดภัยไซเบอร์ หากพิจารณาในระดับโลกจึงเห็นการถกเถียงและแข่งขันเรื่องกฎการไหลเวียนข้อมูลและการใช้ AI ในการทหาร–เศรษฐกิจ หากพิจารณาในระดับชาติ รัฐจำเป็นต้องสร้าง Digital Public Infrastructure (DPI) เช่น eID, e-payment, data exchange เพื่อรักษาอธิปไตยดิจิทัลและยกระดับบริการสาธารณะ หากพิจารณาในในระดับท้องถิ่น เมืองอัจฉริยะและการจัดการข้อมูลแบบ data trust/commons จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญในการปกป้องสิทธิของประชาชนและเพิ่มความสามารถให้ SME เข้าถึงข้อมูล ในทางวิชาการ แม้ AI และข้อมูลจะเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงด้าน surveillance การผูกขาด และอคติทางอัลกอริทึม นโยบายที่เหมาะสมจึงต้องสร้าง regulatory sandbox ควบคู่กับมาตรฐาน open data และจัดตั้ง “สภาข้อมูลชุมชน” เพื่อถ่วงดุลระหว่างรัฐ–เอกชน–ประชาชน
4.5 SCENARIO 5: ทางน้ำ–ทางบก–ทางดิจิทัล (Sea–Land–Digital Corridors) ภูมิรัฐศาสตร์ในศตวรรษใหม่คือการแข่งขันเพื่อครอง “เส้นทางเชื่อมโลก” ทั้งทางทะเล ทางบก และทางดิจิทัล หากพิจารณาในระดับโลกสะท้อนผ่านการช่วงชิงจุดคอขวดสำคัญ เช่น คลองสุเอซ ช่องแคบมะละกา และทะเลจีนใต้ ควบคู่กับการสร้าง land-bridge และสายเคเบิลใยแก้วนำแสงใต้ทะเล หากพิจารณาในระดับชาติ รัฐต้องใช้กลยุทธ์ Port–Rail–Cloud Architecture เชื่อมท่าเรือ ระบบราง และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้าด้วยกัน หากพิจารณาในระดับท้องถิ่น เมืองท่าและด่านชายแดนกลายเป็นแพลตฟอร์มบริการโลจิสติกส์ การเงิน และดิจิทัลที่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การวิพากษ์คือ แม้การพัฒนาเหล่านี้จะลดต้นทุนการค้าและสร้างการเชื่อมโยงใหม่ แต่ก็เสี่ยงที่จะกลายเป็น “โครงการใหญ่แต่เปราะบาง” หากถูกกระทบจากวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์หรือสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการพัฒนาต้องวางอยู่บนฐาน PPP ที่ผูก KPI(รูปแบบความสัมพันธ์ทางธุรกิจ (Partnership) ที่ตกลงร่วมกันระหว่างผู้ร่วมมือสองฝ่ายขึ้นไป โดยมีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (Key Performance Indicator: KPI) ที่ชัดเจน) ด้าน resilience ควบคู่กับการจัดทำ One-Stop Border Post, Single Window และการประเมินความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของ EIA/SIA
บทสรุป ทั้งห้าฉากทัศน์ชี้ว่า อิทธิพลของภูมิรัฐศาสตร์ต่อสังคมและการพัฒนาในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การครองดินแดน แต่ขยายไปสู่การครองมาตรฐาน เทคโนโลยี ข้อมูล และโครงข่ายพลังงาน–ภูมิอากาศ ทุกฉากทัศน์แสดงพลวัต “โลก–ชาติ–ท้องถิ่น” ที่เชื่อมโยงกัน การพัฒนาที่สอดคล้องจึงต้องอาศัย การกำกับหลายระดับ (multi-level governance), การออกแบบเชิงพื้นที่ (place-based development) และ มาตรการคุ้มครองทางสังคม–สิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้ภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของการแข่งขัน แต่กลับเป็นแรงผลักให้เกิดการพัฒนาที่มีความยั่งยืนและเป็นธรรมต่อสังคมในทุกระดับ

ภาพภูมิศาสตร์ยุคใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงภูมิศาสตร์ของแผ่นดินหรือทะเล แต่คือ ภูมิศาสตร์ของโครงข่าย (supply chains, data, energy, climate) ที่กำหนดทิศทางสังคมและการพัฒนา การออกแบบยุทธศาสตร์จึงต้อง “ข้ามระดับ” อย่างแท้จริง
ในวันนี้(31 ส.ค. 68) ผู้เขียนจะจบไว้ที่เรื่อง ภูมิรัฐศาสตร์และอิทธิพลต่อสังคมและการพัฒนา ในบทต่อไปจะได้กล่าวถึงภูมิศาสตร์กับมิติทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของภูมิภาค